“Garrett” บริษัทผลิตอุปกรณ์ตรวจจับโลหะจากสหรัฐอเมริกาสู่แบรนด์เครื่องตรวจจับอาวุธระดับโลกในตำนานที่ทั่วโลกเลือกใช้และไว้วางใจ
หากคุณเดินเข้า-ออกในสถานที่ เช่น ห้างสรรพสินค้า สนามกีฬา โรงเรียน หรือสถานที่ราชการสำคัญทั่วโลกคงจะคุ้นเคยกับ “เครื่องตรวจจับโลหะ” รูปทรงคล้ายกรอบประตูที่พวกเรารู้กันดีว่าต้องเดินผ่านเข้าไปทุกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหน้าที่ว่าเราคือผู้บริสุทธิ์ที่ปราศจากอาวุธและไม่ได้มาสร้างความอันตรายให้แก่สถานที่
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเหมือนหน้าตา นั่นก็คือ การถูกผลิตจาก “Garrett” หรือ “แกแร็ต” แบรนด์เครื่องตรวจจับโลหะจากสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าบริษัทสูงถึง 2,000 ล้านบาท เรียกได้ว่าเป็นสินค้าแบรนด์เนมในหมวดอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเลยก็ว่าได้ จากนี้จะพาไปทำความรู้จักเส้นทางกว่าจะมาเป็น “Garrett” เครื่องจับโลหะแบรนด์ยอดฮิต
Garrett หรือชื่อเต็มว่า Garrett Metal Detectors มีจุดเริ่มต้นในปี 1964 โดยคุณชาร์ล แกแร็ต (Charles Lewis Garrett) อดีตทหารผ่านศึกของกองทัพสหรัฐที่ได้ผันตัวจากทหารเข้าสู่อาชีพวิศวกรภาคธรณี และภรรยา Eleanor Smith ครูสอนเด็กประถมที่ได้ร่วมมือกันพลิกฝืนศักยภาพของเครื่องตรวจจับโลหะใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เขาซื้อมันมาในราคาแพงเพื่อใช้สำรวจพื้นที่ขณะทำงานธรณีวิทยาเป็นครั้งแรก แต่ต้องบ่นออกมาว่า ‘ห่วยชิหาย’
ชาร์ลและภรรยาตัดสินใจประดิษฐ์คิดค้นเครื่องตรวจจับโลหะขึ้นใหม่ ด้วยฝีมือวิศวกรที่สั่งสมมาขณะทำงานในบริษัทผลิตอุปกรณ์ระดับอวกาศจนประสบความสำเร็จและจดบริษัทเป็นของตนเอง
พวกเขาได้เปิดตัว Garrett dual searchcoil Hunter เครื่องตรวจจับโลหะแบบแท่ง จำหน่ายในราคาขายปลีก 145 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,300 บาท สินค้าได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างล้นหลาม ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสขยายธุรกิจสุดเจ๋งนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
ต่อมาในปี 1967 แบรนด์ Garrett ยังคงสร้างมาตรฐานสินค้าไว้ได้อย่างสูงลิบจนไม่มีใครโค่นลง คู่แข่งทั้งหมด 35 แบรนด์ต่างพัฒนามาสู่กับชาร์ล แต่ก็ได้แค่ผลิตออกมาคล้าย ๆ เท่านั้น ขณะที่ Garrett ใส่ลูกเล่นใหม่ ๆ ลงไปในเครื่องตรวจจับโลหะเพิ่ม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เช่น การทำให้อุปกรณ์มีน้ำหนักเบา ออกแบบตามสรีระมือจับ สามารถระบุชนิดโลหะได้ สแกนโลหะในระดับลึกขึ้น ชี้ตำแหน่งโลหะได้อย่างแม่นยำ และอื่น ๆ อีกมากมาย
การสร้างภาพจำในสินค้าของชาร์ลทำให้ Garrett สามารถขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่ม “นักล่าขุมทรัพย์” เพราะเขารู้ว่าปัญหาของคนกลุ่มนี้คือการตามหาอัญมณีและทองคำในพื้นที่หายาก
ต่อมาได้ขยายธุรกิจอย่างใหญ้โตด้วยการเปิดโรงงานในเมืองการ์แลนด์ สหรัฐอเมริกา และเพิ่มระบบตัวแทนจำหน่ายทั่วไปประเทศ ควบคู่ไปกับการมุ่งพัฒนาเครื่องตรวจจับโลหะแบบแท่งต่อไป
ปี 1983 จุดเปลี่ยนสำคัญที่อุปกรณ์สุดล้ำนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบจากเป็นแท่งมือจับไปสู่ “ประตูตรวจจับโลหะ” ที่เราคุ้นเคยกัน เริ่มจากเขาได้รับเชิญให้พัฒนาและออกแบบอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยใหม่ เพื่อคัดกรองผู้เข้าร่วมงานโอลิมปิกที่ถูกจัดขึ้น ณ ลอสแอนเจลิส เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ร้ายดั่งโศกนาฏกรรมของมิวนิก
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ลอสแอนเจลิสครั้งนั้นได้รับการชื่มชมว่าเป็นการตรวจจับโลหะที่แม่นยำที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน โดยแบรนด์ Garrett ใช้เครื่องตรวจจับแบบเดินผ่าน 60 เครื่องและเครื่องตรวจจับแบบมือถือ Garrett’s Pocket Probe 1,000 เครื่อง
ชื่อเสียงของ Garrett ดังไกลไปนานาประเทศนอกสหรัฐฯ ตั้งแต่เกาหลี อียิปต์ สเปน และอื่น ๆ ถูกนำไปใช้ในที่ที่มีคนพลุ่กพล่านอย่าง ห้างสรรพสินค้า สนามกีฬา สนามบิน สถานที่ราชการ เป็นต้น
แบรนด์ดังยังคงเดินหน้าผลิตเทคโนโลยีป้องกันความปลอดภัยเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้คน อาทิ ปี 2011 เปิดตัวระบบคัดกรองความปลอดภัยในมือถือ ชื่อว่า Super Scanner V เมื่อตรวจเจอความผิดปกติจะสั่นและมีเสียงเตือนขึ้น
ปี 2021 จากวิกฤตโควิด 19 แบรนด์พัฒนาระบบ SmartScan ช่วยให้สามารถวัดอุณหภูมิร่างกายไปพร้อม ๆ กับการเดินผ่านกรอบประตูตรวจจับโลหะ
ปี 2023 แบรนด์ยังคงพัฒนาระบบ Zero Touch NFC และการตรวจจับโลหะด้วยความไวด้วยทิศทาง Ambiscan™ เพื่อลดการสัมผัส
อย่างไรก็ตาม Garrett ยังคงไม่ลืมจุดเริ่มต้นของตัวเองสำหรับการผลิต “เครื่องตรวจจับแร่ทองคำ” เพื่อตอบสนองกลุ่มนักล่าขุมทรัพย์ที่เป็นฐานลูกค้าแรกของพวกเขา
ผ่านมา 59 ปีนี้ ทำให้ Garrett ก้าวกระโดดขึ้นสู่การเป็นซัพพลายเออร์หลักในอีเวนท์ระดับโลก เช่น ฟุตบอลโลก กีฬาโอลิมปิก สายการบิน ห้างสรรพสินค้า และองค์กรชั้นนำอีกมากมาย สร้างมูลค่าบริษัทแตะ 2,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
เส้นทางของแบรนด์ Garrett นับเป็นตัวอย่างการทำธุรกิจอันทรงคุณค่า จากความรักในการแก้ปัญหา ผนวกกับการใช้ความสามารถเข้ามาพัฒนาและแก้ไข Pain Point ของลูกค้าจนสร้างภาพจำและความไว้วางใจที่ลบเลือนได้ยาก