‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ เปิดใจครั้งแรกผ่านรายการดัง หลังตัดสินใจประกาศอำลาวงการบันเทิง แท้จริงแล้วสาเหตุคืออะไร ไม่ใช่การสร้างกระแสอย่างที่ชาวเน็ตอ้างใช่หรือไม่ เคลียร์ชัดทุกข้อสงสัย พร้อมตอกกลับชาวเน็ตไปอีกหนึ่ง “พูดจริง ทำจริง”
ชาวเน็ตตกใจหนัก หลัง ‘แพรรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ อินฟลูเอนเซอร์คนดัง ประกาศอำลาวงการบันเทิง ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวไปเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความงุนงงปนใจหายของเหล่าแฟน ๆ หลายท่านอยากทราบสาเหตุที่แท้จริง บางท่านติงว่าอาจเป็นการเรียกกระแส
ล่าสุด ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ผ่านรายการโทรทัศน์ชื่อดัง คุยแซ่บShow ที่มีสองนักแสดง หนิง ปณิตา และ ชมพู่ ก่อนบ่าย เป็นพิธีกรดำเนินรายการ พร้อมเปิดใจอย่างหมดเปลือกถึงการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่เป็นกระแสฮือฮาสนั่นโซเซียลอย่างมาก เบื้องลึกเบื้องหลังของการอำลาวงการคืออะไร เหตุเคยโดนกระชากวิกเป็นฉนวนให้ตัดสินใจเช่นนี้หรือเปล่า แพรรี่ตอบแล้ว
เมื่อสองพิธีกรเริ่มต้นยิงคำถามถึงที่มาที่ไปของการประกาศอำลงวงการ อยู่ดี ๆ โพสต์ประกาศอำลาวงการ ทางแพรรี่จึงได้ให้คำตอบว่า
“ก็ตั้งใจเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราวนั่นแหละ บอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ให้คนที่ติดตามเราได้รู้ เพราะถ้าอยู่ดี ๆ เราหายไปจากรายการที่ทำ แล้วคนจะสงสัยมาถามกันทีละคน หนูว่าเราเขียนเองเลยดีกว่า แล้วให้แฟนคลับที่เขาติดตามเราได้รู้ว่าตอนนี้เราเตรียมจะมูฟแล้วนะ ถ้าไม่ได้เห็นเราในบทบาทพิธีกรที่เราทำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
เมื่อถูกถามต่อ งานในทุกด้านทำได้ดี แล้วจะมูฟเพื่ออะไร เหตุผลของแพรี่ก็คือ
“เราทำงานมาช่วงหนึ่งเหมือนมันครบกำหนดระยะเวลาที่เราเคยวางแพลนไว้กับตัวเองแล้ว 1 ปี หนูรู้สึกว่า 1 ปี สำหรับหนูมันเยอะสุดแล้ว หนูมองว่าการที่เราได้ทำงานนี้อยู่มันไม่ใช่งานที่เราตั้งใจทำตั้งแต่แรก แต่มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านอาจจะเห็นศักยภาพในตัวหนู แล้วให้โอกาสหนูได้ทำงาน แล้วหนูก็ไม่คิดว่ามันจะลากยาวมาได้ขนาดนี้”
เห็นว่าตอนแรกตั้งใจว่า 3 เดือน
“ประมาณนั้น ตอนแรกที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ”
แพรรี่ไม่อยากไปต่อเหรอ ที่เขาบอกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก
“หนูคิดว่าหนูพอแล้ว น้ำหนูเยอะแล้ว”
จากนั้นทางพิธีกรได้สอบถามถึงข้อความที่ปรากฏในโพสต์ประกาศอำวงการ มันมีประโยคนึงในโพสต์ที่ว่า มีดาวเรืองก็ต้องมีดาวโรย ถึงเวลาที่ต้องเก็บของกลับบ้านนาที่จากมาได้แล้ว
“หนูเป็นคนชอบฟังเพลงแม่พุ่มพวง แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้มันสอนใจคนเราดี คือคนเราไม่ต้องรอให้ตัวเองเป็นดาวโรยหรอก ถ้าวันนึงเราคิดว่ามันถึงโอกาส ถึงจังหวะ เราสู้โรยด้วยตัวเราเองดีกว่า ก่อนที่มันจะมีอะไรมาทำให้เราโรย หนูเลยสมัครเป็นดาวโรยก่อนเลย ก่อนที่จะมีคนมาทำให้หนูโรย”
ไม่ใช่คิดว่าเรามองว่าเป็นขาลง แต่เรามองก็ไม่ใช่
“งานที่ทำ ถ้าหนูยังอยู่ หนูทำได้เรื่อย ๆ เลยแล้วผู้ใหญ่ท่านก็ยังเมตตาให้หนูทำ คืออันนั้นหนูสอนตัวเองว่าชีวิตคนเรามีขึ้นก็มีลง เราไม่ได้ยึดติดกับแสง สี อะไรขนาดนั้น พอใจเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว”
หรือจริง ๆ แล้วแอบน้อยใจคนในวงการบันเทิง หรือคนที่ทำงานด้วยหรือเปล่า เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา
“ไม่มีนะคะ อย่างรายการที่ทำมันก็เป็นไลฟ์สไตล์หนูเลย ผู้ใหญ่ก็เปิดโอกาสให้เต็มที่เลยนะ ไม่เคยบอกว่าทำรายการต้องเป็นแบบนี้นะ เธอต้องเปลี่ยนบุคลิก นู่นนี่นั่น เพราะว่ารายการที่หนูทำเป็นรายการวาไรตี้ เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ เขาให้เราเป็นตัวเองได้เต็มที่เลย”
หรือว่ามีจุดที่อิ่มตัวในวงการบันเทิงในบางอย่างที่เราทำทุกวัน
“อันนี้ก็ใช่ส่วนหนึ่ง หนูตื่นมาแต่งหน้าเช้าทุกวัน แต่งหน้าเสร็จกลับห้อง คลีนหน้าก็ใช้เวลาเยอะมาก เพราะเราไม่ได้แต่งหน้า เราโบก เราโบกหน้าทุกวัน ใส่วิกทุกวัน เสื้อผ้าเปลี่ยนทุกวัน บางทีมันก็รู้สึกหนักสำหรับตัวเอง มันเป็นการวนลูปซ้ำ ๆ หนูใช้ชีวิต 10 กว่าปีอยู่ใน กทม. อยู่ในวัด อยู่ในกุฏิแคบ ๆ พอหนูสึกมาหนูตั้งใจจะกลับบ้านโล่ง ๆ บรรยากาศแบบเราได้กลับไปอยู่บ้านเรา แต่พอเราตัดสินใจมาทำงานในวงการ เราก็ต้องมาอยู่ในคอนโดแคบ ๆ อีก เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบสำหรับชีวิตเราที่เราจะเป็นแบบนี้”
มันเหนื่อยจริงเหรอที่ต้องตื่นมาแต่งตัว เพราะเราก็ชอบสวย ๆ งาม ๆ
“มันทุกวัน บางทีมันก็รู้สึกอิ่ม แต่ไม่ใช่ว่าเบื่อตัวเองนะ แต่ว่ามันอิ่มเฉย ๆ จุดความพอใจของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และความสุขที่แต่ละคนอยากมอบให้กับตัวเองไม่เหมือนกัน ถ้าคนที่อยู่ในจุดนี้แล้วรู้สึกว่านี่คือไลฟ์สไตล์นี่คือความสุขกับการทำงานเขา หนูว่าไม่มีผิด ไม่มีถูกเลย”
มันเป็นปมในใจหรือเปล่าวันที่โดนกระชากผม ตั้งแต่วันนั้นทุกอย่างมันดูเฟลไปหมดเลย
“ไม่เกี่ยวเลย การกระทำแบบนั้นไม่สามารถทำให้หนูรู้สึกเฟลได้ ไม่มีทางเลย เรื่องการปลูกผมหนูพูดตั้งแต่แรก ๆ แล้วที่จะทำ แต่ยังไม่มีโอกาสจะทำเฉย ๆ”
1 ปี ตามครบกำหนดคุณแพรรี่คือเมื่อไหร่
“ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 รายการที่ทำอยู่ ที่หนูต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ในช่อง ถ้าผู้ใหญ่เขาเข้าใจหนู โอเคถ้าแพรรี่ตัดสินใจแล้ว เราก็ไม่ห้าม ไม่อะไร หนูก็จะหมดงานที่ทำประจำแล้ว ทีนี้หนูก็จะพร้อมมูฟกลับไปทันที ก็เร็ว ๆ นี้ค่ะ”
ในส่วนของมิสเปรียญยังทำอยู่ไหม
“ยุติทั้งหมดเลย หนูทำงานกับผู้ใหญ่หลายช่องอยู่”
สมมติว่าใกล้ครบ 1 ปีที่เราตั้งใจไว้ แล้วมันมีงานใหญ่เข้ามา เราจะทำต่อไหม
“ไม่ได้ค่ะ เพราะว่าหนูพูดไปแล้ว ถ้าหนูลังเล พูดอย่างแล้วทำอย่างคนจะว่าหนูได้ว่าเป็นคนปากไม่ตรงกับใจหรือคอนเทนต์”
ปัญหาหลัก ๆ เลยและเป็นสิ่งที่ตั้งใจตั้งแต่แรกเลยคือเรื่องของคุณแม่
“ทุกวันนี้เราทำงานก็จริงนะ เรามีเงินส่งเสียเลี้ยงดูแม่ แต่หนูว่าโรคที่แม่หนูเป็นอยู่ไม่ใช่เอาเงินไปให้แล้วเขารู้สึกดีอย่างเดียว ครอบครัวหนูมีแค่ 3 คน พ่อก็มีหน้าที่ต้องไปทำเรื่องของเขา เหมือนตอนหนูไม่ได้กลับบ้านแม่เขาก็อยู่คนเดียว บางเวลาแม่ต้องการคนที่จะซัพพอร์ตเขา ให้กำลังใจเขา แล้วอยู่กับเขาจริง ๆ เพราะเขาเคยไปพูดกับป้าว่าเขารู้สึกดี เขามีกำลังใจมากขึ้นเวลาลูกเขากลับบ้าน แต่เขาก็เข้าใจว่ากลับมาบ้าน เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานเพราะเราต้องหาเงินมาดูแลครอบครัว แม่ไม่เคยพูดกับเราตรง ๆ เขาไปพูดกับพี่สาวเขา คุณแม่ตอนนี้อายุ 50 กว่า อยู่ต่างจังหวัดก็อยู่กับพ่อ แล้วก็มีคนดูแลที่เป็นญาติกัน เพราะพอแม่เป็นมะเร็ง แม่ไม่สามารถทำอะไรหนัก ๆ ได้ กับข้าวกับปลาอย่างนี้ทำไม่ได้”
แพลนที่กลับไป เมื่อกี้บอกว่าจะไปเปิดคาเฟ่
“คนจะคิดว่าหนูไม่ทำงาน กลับไปอยู่บ้านแล้วคงจะหายไปเลย จริง ๆ ไม่ใช่นะคะ หนูก็ยังมีช่องทาง มีโซเชียล ช่องทางการติดตามทั้ง TikTok ไอจี เฟซบุ๊ก หนูก็ใช้ช่องทางนี้แหละในการทำมาหากิน ทุกคนยังได้เจอหนูทุกวันในโซเชียล ก็ยังทำงานอยู่ ไม่ใช่กลับไปแล้วไม่ทำงาน หนูจะอยู่ได้ยังไง เพียงแค่ไม่ได้ทำงานประจำกับรายการช่องเท่านั้นเอง”
เมื่อถูกถามถึงประเด็นที่ชาวเน็ตติงว่าการโพสต์ประกาศเช่นนี้เป็นการสร้างกระแสเท่านั้น กระแสชาวเน็ตบอกว่า ออกเท่ากับสร้างกระแส ทางแพรรี่จึงตอกกลับความคิดเห็นของชาวเน็ตว่า
“หนูว่าเป็นเรื่องปกตินะ คนเรามีคนชอบและไม่ชอบเรา มันเป็นเรื่องปกติเลย คนที่เขาไม่ชอบ เขาก็มีสิทธิ์ด่าหนูได้ แต่เขาด่าหนู สิ่งที่หนูทำจะเป็นจริงอย่างที่เขาด่าหรือเปล่า มันก็ต้องดู ถ้าสรุปแล้วหนูออกมาพูดแล้วหนูไม่ออก หนูก็ยอมให้เขาด่า แต่ถ้าหนูพูดจริง ทำจริง คำด่ามันก็ไม่เข้าหนู มันเข้าเขา เหมือนเขานั่งส่องกระจกนั่งด่าตัวเอง”
เวลาอ่านพวกอย่างนี้รู้สึกโกรธหรือจิตตกบ้างไหม
“ไม่มีจิตตก เพียงแต่ว่าถ้าบางอันเป็นเพจที่มีคนตามเยอะ อาจไปชี้นำให้คนมาด้อยค่าเราหรือเข้าใจเราผิด เราก็ต้องออกมาชี้แจงอย่างที่มีเพจนึงว่าหนู หนูก็ออกมาบอกว่าออกก็ออกจริง ไม่มีเท่ากับ ไม่มีอะไร แล้วอธิบายให้เขารู้ว่าเหตุผลที่เราออกเพราะอะไร”
แล้วถ้าวันนึงทุกคนอยากรู้ชีวิต แล้วเชิญมาสัมภาษณ์แบบนี้ออกไหม
“ยินดีนะคะ แล้วอันนึงที่หนูไม่ทิ้งก็คือ ถ้ามันมีประเด็นทางสังคมหรือทางศาสนา หนูออกมาแล้วหนูก็ยังจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ พูดเรื่องนี้ในฐานะที่หนูเป็นคนที่เคยอยู่ในศาสนามาก่อน ถ้ามีประเด็นเรื่องศาสนา คนต้องการความคิดเห็นของหนู หรือรายการทีวีเชิญ หนูก็ยินดีออกมาพูด”
คำว่าออกของเขาคือไม่ได้อยู่หน้าจอประจำ แต่ยังอยู่ในโซเชียล แต่เดี๋ยวพอคนเห็นเขาอยู่ในโซเชียล คนก็ไปด่าเขาอีก เดี๋ยวคนเข้าใจว่าไหนบอกว่าออกไง
“ออกไม่เท่ากับตายนะคะ ถ้าวันไหนตายนั่นคือยุติหมดเลย ถ้าตายอันนั้นมั่นใจเลยว่าจะไม่เห็นดิฉันแน่”
สรุปออกจริงหรือคอนเทนต์
“มันคอนเทนต์ไม่ได้นะคะ หนูคิดว่าชีวิตไม่ใช่ของเล่น เราตัดสินใจทำอะไรแล้ว ยิ่งคนรู้คนติดตามอย่างหนูโพสต์ไปในเพจ 3 ล้านกว่า ถ้าหนูโพสต์เล่น ๆ จะเกิดอะไรกับหนู แล้วหนูไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเอาคอนเทนตฺแบบนี้ หนูไปทำคอนเทนต์แบบอื่นไม่ดีกว่าเหรอ”
ใช้คำว่าผันตัวไปเป็นอินฟลูฯ ดีกว่า
“ใช่ค่ะ แค่ไม่ได้ทำงานประจำเฉย ๆ”
พร้อมทิ้งท้ายด้วยการตอบคำถามที่ว่า อยากบอกอะไรชาวเน็ต
“หนูว่าแซะไปงั้นแหละ แซะยังไงก็ไม่ขึ้นหรอก เพราะหนูไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องโกหก แล้วอะไรที่พูดหนูคิดดีแล้ว ส่วนแฟนคลับขอบคุณที่ซัพพอร์ต ยังได้เจอหนูในบทบาทอื่น ๆ และสามารถซับพอร์ตหนูในบทบาทอื่น ๆ ที่หนูทำ”
การออกมาเปิดใจผ่านรายการครั้งนี้ แพรรี่ได้เคลียร์ชัดทุกคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการอำลาวงการบันเทิง พร้อมแจงเหตุกระชากวิกไม่ใช่สาเหตุของการตัดสินใจครั้งนี้ และไม่ได้ต้องการสร้างกระแสหรือเรียกกระแสแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะออกจากการรับงานประจำในวงการไป แต่แพรรี่ก็ได้ยินยันแล้วว่า เธอจะผันตัวไปเป็นอินฟลูเอนเซอร์แทน ไม่ได้หายหน้าหายตาไปจากสื่ออื่น ๆ อย่างที่หลายคนกังวลกัน
- แฟนคลับช็อก “แพรรี่ ไพรวัลย์” ประกาศลาวงการบันเทิง ไม่มีใครไล่ ขอไปทำตามฝัน
- คลั่งรักมาก ‘แน็ก ชาลี’ พูดเต็มปากขอรับงานคู่ ‘เก๋ไก๋ สไลเดอร์’ เพียงคนเดียว