เฉียบ ‘ไอติม พริษฐ์’ รับคาดไม่ถึง แค่เติมอักษร “ก” หลังคำนำหน้าชื่อเศรษฐา ทำจุดยืนเปลี่ยนขนาดนี้
ไอติม พริษฐ์ ก้าวไกล อภิปรายกลางสภา เปรียบเทียบ แค่เติมอักษรภาษาไทยตัวเดียว หลังคำนำหน้าชื่อนายก นายเศรษฐา ทำจุดยืนเปลี่ยน รัฐธนรรมนูญฉบับใหม่ที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนตอนนี้ทำเหมือนล่องหน
“ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าการเติมอักษร ก หลังคำว่านายเศรษฐาเป็นนายกเศรษฐา จะทำให้จุดยืนของท่านเปลี่ยนไปขนาดนี้ คงต้องไปวิเคราะห์กันต่อเองละครับว่า อักษร ก คืออะไร แต่สำหรับผมแล้ว ก นี้คือ คำว่ากลัวและคำว่าเกรงใจ ต่ออำนาจเดิมครับ ” ประโยคบางช่วงบางตอนของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกรัฐสภา พรรคก้าวไกล
ได้ลุกขึ้นอภิปรายถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐนตรีคนปัจุจบัน เกี่ยวกับประเด็นผลักดันการแก้ไขตลอดจนการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่เคยได้ให้สัญญาไว้กับประชาชนก่อนหน้าที่จะได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศ ยังไม่มีทีท่าจะถูกนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง
การเปรียบเทียบด้วยวาทะซึ่งต่อมาถูกสังคมโซเชียลแห่กันแช์ถ้อยคำจากเนื้อหาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบนบัญชีทวิเตอร์เอ็กซ์ (X) ซึ่ง #ประชุมสภา ได้ถูกติดแฮชแท็กแสดงความเห็นเกี่ยวกับข่าวสารการเมือง ช่วงเปิดอภิปรายประชุมสภานัดแรกกันไปเมื่อวานนี้ (12 ก.ย.66) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถอดความ ตีความหมายจากตัวอักษร ก.ไก่ คือ คำว่ากลัวและคำว่าเกรงใจ ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 30 เองนั้นมีต่อพรรคร่วมรัฐบาลและเครือข่ายอำนาจเดิมที่ช่วยให้ตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่สำคัญเช่นปัจจุบัน ซึ่งจากสารตั้งตั้นนี้เองเป็นเหตุค้ำคอรัฐบาลชุดใหม่จนไม่กล้าผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่เคยได้ให้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชนนั่นเอง
สำหรับเนื้อหาหลัก ๆ ที่ทาง พริษฐ์ สส. แบบบัญชีรายชื่อก้าวไกลอภิปรายไว้วานนี้ โดยเน้นย้ำเป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้ในเรื่องรัฐธรรมนูญไม่ควรจะมีอะไรซับซ้อน ก่อนถามต่อถึงประเด็นนายกรัฐมนตรีพร้อมหรือไม่ที่จะลงนามแก้กฎหมาย พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ ที่พรรคก.ก. เสนอ ส่วนการลดงบส่วนกลาง เพิ่มงบท้องถิ่น เป้าหมายนี้ถูกลดทอนลงมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้สำเร็จได้หรือไม่ในรัฐบาลชุดนี้
ขณะเดียวกันยังตั้งข้อสงสัยว่า รัฐบาลจะสามารถยืนยันได้หรือไม่ว่า งบประมาณที่ให้ผู้ว่าฯ CEO ไม่ว่าโดยตรงหรือผ่านกลุ่มจังหวัด จะไม่ดึงจากกระเป๋าของท้องถิ่นที่มีน้อยอยู่แล้ว จนเป็นการลดงบประมาณที่ท้องถิ่นมีในการแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่
นายพริษฐ์ ยังทิ้งท้ายถึงรัฐบาลชุดนี้ว่า หากยังอยากจะเป็นนายกฯ แห่งการเปลี่ยนแปลง ต้องแสดงความกล้าหาญมากกว่านี้ในการผลักดันวาระทางการเมืองและวาระทางประชาธิปไตย แม้จะขัดกับผลประโยชน์พรรคร่วมรัฐบาลและเครือข่ายอำนาจเดิมที่อยู่เบื้องหลังการเข้าสู่อำนาจ
แต่หากยังเลือกที่จะนิ่งเฉยและเดินตามถ้อยคำในแถลงนโยบาย เกรงว่าประชาชนจะไม่จดจำว่าเป็นรัฐบาลเศรษฐา แต่เป็นรัฐบาลเศษส่วน ที่ทำได้แค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่นายกฯ สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชน ไม่ยอมให้รัฐมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตามที่ประชาชนต้องการและถวิลหา โดยจบการอภิปรายในเวลา 22.17 น.