เปิดชีวิตใหม่ ‘แองจี้ เฮสติ้ง’ หลังแต่งเศรษฐีคูเวต ชีวิตดีมีคนดูแล 14 คน
เปิดชีวิต ‘แองจี้ เฮสติ้ง’ หลังแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี ชีวิตดีถูกเรียกมาดาม มีลูกน้องในบ้านคอยดูแลกว่า 14 คน
ถือเป็นหนึ่งในอดีตนักแสดงสาวที่อำลาวงการไปแล้วเรียบร้อย สำหรับ ‘แองจี้ เฮสติ้ง’ ที่ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผยชีวิตหลังอำลาวงการไปแต่งงานกับนักธุรกิจเศรษฐีบ่อน้ำมัน ชาวคูเวตกว่า 8 ปี พร้อมอัปเดตบทบาทคุณแม่ลูก 2 ผ่านรายการคุยแซ่บshow ทางช่อง one 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ตั้งแต่แต่งงานจนถึงตอนนี้กี่ปีแล้ว?
“ประมาณ 8 ปีแล้ว คือเราแต่งงานไป เราตั้งใจแล้วว่าเราลาวงการ แล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับมาออกรายการด้วย ไปอยู่ที่นู้นด้วย โควิดด้วย คือไม่พร้อม”
ก่อนแต่งคบมานานเท่าไหร่?
“กว่าจะได้แต่ง กว่าจะให้เขารู้ตัวว่าเราเป็นโซลเมทใช้เวลานานมาก 10 ปี บวกอีก 8 ปี เป็น 18 ปี”
ย้อนไปตอนนั้นพี่ทำยังไงให้เขารู้ว่ายูคือโซลเมทของฉันนะ ขอฉันแต่งงานได้แล้ว?
“ตอนนั้นคบได้ 9 ปีแล้ว ก็บอกเขาถึงเวลาแล้วนะ ยูควรจะตัดสินใจเพราะว่าในตอนนั้น เรา 35 แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน จะเป็นนักแสดงเต็มตัวเลย หรือว่าเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนไปเลยไม่ต้องแต่งงานก็ได้ คือ 35 เราต้องตัดสินใจแล้วว่าเราจะมีครอบครัว แต่งงานหรือเปล่า เลยบอกสามีว่าฉันให้เวลาอีกปีนึงนะ ถ้าไม่ขอฉันแต่ง ฉันจะตัดขาด ตั้งใจที่จะทำงานต่อ แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วถ้าเขาเลิกกับเราจริงๆ เราจะทำยังไง แต่เราก็มั่นใจว่าเขาต้องขอเราแน่ ๆ”
แล้วทำยังไงอยู่ๆ เขามาขอเรา?
“ตอนเขามาขอเรา เราคิดเลยว่าเขาต้องจัดฉากโรแมนติกนู้น นี่นั่น แต่ตอนเขาขอแต่งงานเขาไม่ได้จัดฉากอะไรเลย เราก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าเขามาขอ เหมือนเขาจะหลอกเราไปถ่ายรูป เขาเป็นคนชอบถ่ายรูป เขาพาไปถ่ายที่แบบเหม็นๆที่คูเวต เขาบอกยูมาถ่ายรูปหน่อย รอนานแล้ว ยูจะผูกรองเท้าอะไรนักหนา แล้วเขาก็ดึงแหวนออกมาจากรองเท้า แล้วหน้าเราก็แบบ โอ้โห..”
ถ้าย้อนไป 8 ปีที่แล้ว MTV และละครบูมมาก อะไรที่ทำให้พี่ยุติงานในวงการบันเทิง?
“ตอนที่แต่งงานกับเขาจี้ยังไม่ได้ย้ายนะ ยังถ่ายละครอยู่ ยังรับงานอยู่ประมาณปีกว่าเกือบ 2 ปี เขาบอกว่ายูแต่งงานนะ ยูเป็นภรรยาของฉันนะ ทำไมยูยังไม่ย้าย ทำไมยังถ่ายละครอยู่ เราก็ลืมไป ไม่ได้คิดว่าแต่งงานเสร็จเราต้องย้าย เราคิดว่าแต่งงานก็คือแต่งงาน”
มันเป็นกฎของครอบครัวคนคูเวตหรือเปล่าที่ต้องย้าย?
“คือเราแต่งงาน เราต้องอยู่ด้วยกันใช่ไหม จี้ลืมไป ไม่ได้คิดว่าเราแต่งงาน เราต้องย้าย เพราะเราอยู่แบบนี้มา 10 ปี ลืมไปเลย”
พอละครปิดกล้องก็ไป?
“ก็กลับไปเลย เขาแต่งงานกับเราเนี่ย เขาขอร้องให้เราย้ายไปอยู่กับเขา มันก็ต้องตัดสินใจย้ายไปอยู่ ก็ทำใจเราชอบการแสดงมาก พอตัดสินใจเราต้องเด็ดขาด”
บางคนก็บอกว่าเราโชคดีจังเลย สามีมีฐานะ หนูตกถังข้าวสาร ตอนนั้นตัวเราเองที่รักกันมา 10 ปีกว่าจะได้แต่งงาน เรารู้สึกยังไง?
“ตอนที่ย้ายไปอยู่ที่คูเวต คิดเหมือนกันว่านี่คือชีวิตเราเหรอ อยู่บ้านใหญ่โต ตื่นมาสามีก็ไปทำงาน แล้วเราก็เดินแบบทำตัวไม่ถูกจริงๆ มันไม่ใช่เราไง เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก มันชินกับลูทีนที่เราต้องตื่นไปถ่ายละครแต่เช้าแล้วกลับบ้าน ล้างหน้าแล้วกลับไปนอน เช้ามาก็ไปทำงานเหมือนเดิม คือมันเปลี่ยนไปเยอะเลย เราไม่รู้จะทำอะไรกับตัวเองพอไปอยู่ประเทศที่ไม่เหมือนบ้านเรา ไปอยู่ประเทศที่มีแต่ทะเลทราย ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ แม่”
จริงไหมที่สามีคุณคือเศรษฐีบ่อน้ำมัน?
“ทำงานน้ำมัน แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน”
ไปอยู่วันแรกเป็นเจ้าหญิงเลย?
“ลงมาก็มีคนดูแล ที่บ้านเขาจะเรียกเรามาดาม จี้มีพนักงานประมาณ 14-15 คน ที่บ้านอยู่กันมีแองจี้ สามี พ่อสามี ทั้งหมด 3 คน”
แล้วมีพนักงาน 14 คน?
“ก็มีกุ๊ก มีคนละชั้นกัน บ้าน 4 ชั้นครึ่ง”
อาทิตย์นึงหรือเป็นเดือนกว่าจะปรับตัวได้?
“ก็นาน เดินไปเดินมา ตายแล้วสามีจะให้เราทำผมทุกวันเลยเหรอ ทำเล็บทุกวันเลยเหรอ มันไม่ใช่เราแล้ว เราต้องหาอะไรทำ แต่เราก็ไม่รู้ไง ภาษาเราก็ไม่ได้ อะไรที่ถนัดก็คือความสวยความงาม ก็เลยหาธุรกิจที่ไม่เหมือนคนอื่นแล้วทำ นั่นคือคือนำเข้าแบรนด์จากเกาหลีมาขายที่คูเวต และเป็นเจ้าแรก ตอนนั้นไม่มีตลาด มันยังใหม่ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเขายังไม่รู้เลยว่าเกาหลีคืออะไร”
ตอนแรกยากไหม?
“ยาก แต่ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะจี้มีพาสเนอร์เป็นอินฟูที่ดังมากอยู่แล้ว เขาช่วยสื่อสารภาษาให้กับฟอลโลเวอร์ว่ามันเป็นของเกาหลี ราคาก็ได้ ราคาก็ดีเทียบกับลัคชูรีแบรนด์”
แล้วสามีที่เขาคาดหวังให้เราทำเล็บทุกวัน ทำผมทุกวัน?
“ก็อธิบาย สามีบอกเธอไม่อยากเป็นมาดามเหรอ เธอแปลกมากเลยนะคนอื่นเขาอยากเป็นมาดาม ไม่ต้องทำอะไร แต่เราเป็นคนทำงานตั้งแต่เด็ก”
แล้วอย่างนี้ขัดใจสามีไหม?
“เขาคงงงๆ จริงๆ ที่นู้นเขาไม่อยากให้ผู้หญิงทำงาน เราก็อธิบายแล้วเขาก็เข้าใจแหละว่าเราอยู่อย่างนั้นไม่ได้เราต้องทำงาน เพราะถ้าอยู่อย่างนั้นเราเครียดนะ ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครเลย ไม่มีสังคม จะอยู่บ้านกับสามี เราก็อยากออกไปทำงาน มีรายได้นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี แต่ตอนนั้นยังไม่มีลูก”
แล้วอะไรที่ตัดสินใจว่าคุณสามีเราต้องมีลูก?
“เราก็นอนกระดิกเท้ากัน นี่พ่อ แม่ ฉันมาพูดแล้วนะว่าเมื่อไหร่จะมีลูกสักที อยู่ด้วยกันมา 2-3 ปีแล้วนะแล้วทำไมยังไม่มีทายาทสักคน ยูก็แฮปปี้ ไอก็แฮปปี้ ทำไมต้องมีลูกด้วย เขาพูดมาว่าเนี่ย เขาขอร้อง”
ฝั่งครอบครัวเขาอยากได้ เราก็เปลี่ยนใจตามเขา แต่การขอร้องไม่ธรรมดา เขามาเป็นแพคเกจโรงพยาบาล?
“ใช่ เขานัดหมอให้เรียบร้อยเลย แล้วเขาก็พาแองจี้ไปด้วย ให้ไปตรวจร่างกาย ไปตรวจเลือดทุกอย่าง”
ฝากไข่มีไหม?
“ใช่ เขาเร่งไง เขาบอกว่าไม่ต้องธรรมชาติแล้ว จี้ทำ IVF 9 รอบ ใน 2 ปี ถามว่าเจ็บไหม ไม่นะ แต่มันเป็นการเดินทางที่เหงา โดดเดี่ยว ฮอร์โมนเราปรับขึ้นๆ ลงๆ บางวันเราร้องไห้ไม่อยากทำ มันทำให้เราปั่นป่วน คือหมอที่เราทำ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นผู้หญิงคุณต้องมีลูกแล้ว หมดหนทางแล้ว มันทำให้เราคิดว่าตายแล้ว เราแก่เหรอ มันทำให้เราเศร้านะ หมอจะพูดเลยว่าสุดทางแล้วนะ แก่แล้วนะ รีบๆ แล้วจี้ก็กลับมาทำหมอที่เมืองไทยด้วย”
พอติดก็พาน้องไปคลอดที่อังกฤษ?
“จี้รู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่า แล้วเราเป็นลูกครึ่งอังกฤษ อยากไปคลอดโรงพยาบาลที่เราคุ้นเคย แล้วอยากพาครอบครัวเราไปอยู่กับเราด้วย จี้ไม่อยากให้พ่อ แม่จี้มาอยู่ที่คูเวต”
แล้วฝั่งสามีไปอังกฤษไหม?
“เขาไม่ได้ไปค่ะ เพราะว่าเขาทำงานหนัก เขามีงานที่ต้องทำไปไม่ได้ ดีแล้วสำหรับจี้ จี้อยากอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่”
จริงไหมที่ท้องได้ 7 เดือน คนนี้ต้องรีบออก?
“ใช่ ถ้าเราเดินทาง มันจะมีระยะเวลาที่เราเดินทางบนเครื่องบินได้ ถ้าเลย 7 เดือนเขาจะไม่ให้ขึ้นเครื่อง แต่จี้ก็เลยมาแล้ว เลยบอกเขาว่าท้อง 5 เดือน”
พอไปน้องคลอดตอน 7 เดือนมันมีภาวะยังไง?
“มันจะมีกำหนดผ่า เพราะถ้าเราเลย 40 แล้วเขาจะไม่ให้เราคลอดธรรมชาติ เขาให้เรากำหนดวันเลยว่าจะผ่าวันไหน ประมาณ 35 วีค ตกเลือด ตกใจเหมือนกัน เลยบอกแม่เลือดออกมาเยอะมากเลย ทำยังไงดี เราตกใจ ช็อก คุณแม่บอกว่าเราต้องรีบไปหาหมอ เขาบอกว่าลูกไปโดนสายสะดือ แช้วมันทับสะดือแล้วมันก็ขาด เลยรีบผ่าด่วน”
ตอนนั้นหมอได้บอกไหม มีภาวะอันตรายอะไร?
“เราเสียเลือดเยอะ เราอาจจะช็อก ตัวเด็กเนี่ยก็ขาดออกซิเจน เพราะหัวใจเขาก็เริ่มชาลง เขาเลยรีบผ่าออก”
พอทราบข่าวเราจะคลอด คุณสามีว่ายังไงบ้าง?
“ตอนนั้นจี้ไม่ได้พูด เพราะจี้อยู่ในห้อง ให้คุณแม่กับน้องสาวคุยกับสามี เขาก็คงตกใจและตื่นเต้นแหละ แต่พูดไม่ออก”
บินตามมาเลยไหม?
“เขาก็บินตามมาภายใน 2 วัน เพราะที่คูเวตถ้าเราจะบิน เราต้องทำวีซ่าก่อน ไม่ใช่ว่าจะไปขอแล้วได้เลย ต้องทำออนไลน์”
พอมีน้องแล้วอยู่ที่อังกฤษแป๊บนึงแล้วค่อยบินกลับไปที่คูเวต คุณพ่อสามีว่ายังไงบ้าง?
“หลานคนแรกที่เป็นผู้ชาย แล้วเป็นทายาทของทางครอบครัวคนแรกด้วย”
คนนี้มาด้วยวิทยาศาสตร์ แต่คนที่สองธรรมชาติล้วนๆ?
“ใช่ ช่วงโควิดมั้ง เขามาเอง เพราะว่าผู้หญิงไม่ควรจะเครียด อารมณ์ดี นอนหลับเพียงพอ กินดีอยู่ดี ร่างกายมันจะสมบูรณ์”
แต่พอมีลูกแล้วอาการซึมเศร้าหนักกว่า?
“เพราะว่าเรากลัวไปหมด กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า เราเลี้ยงดีหรือเปล่า เราให้นมได้หรือเปล่า มีนมหรือเปล่า มันหลายๆ อย่าง มันก็เครียด หนักก็คือทั้งบ้านเป็นโควิดหมดเลย 14 คน รวมสามีด้วย ช่วงสามีเป็น เป็นโควิดสายพันธุ์แรกที่แรง เขาโดนไปอยู่โรงพยาบาลเลยเป็นหลายอาทิตย์”
ตอนนั้นก็หนักเหมือนกัน มีภาวะยังไงบ้าง?
“มันชา ไม่มีความรู้สึก เหมือนเรารักเขานะ แต่เหมือนเราไม่เต็มที่ เรานอนน้อยด้วย แล้วอะไรหลายๆ อย่างทำให้เราชาไปหมดเลย ไม่มีความรู้สึก”
6 เดือน เอาครูมาสอนลูกแล้ว?
“ใช่ สอนการสื่อสาร การดูรูปภาพ การฟัง แล้วก็ให้ไปเรียนว่ายน้ำด้วย จี้ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เป็นซุปเปอร์มัมและไม่คิดที่จะเป็นซุปเปอร์มัม และไม่คิดว่าแม่บ้านหรือแด๊ดดี๊ต้องมาสอนลูก ก็เลยเอาครูมาสอน เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ แล้วการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนช่วยนะ เขาพูดเก่งมาก”
ทำไมถึงกลัวลูกคนที่2 เป็นผู้หญิง?
“จี้รู้สึกว่าที่คูเวตยังไม่พร้อมสำหรับเพศหญิง คือจะไม่เท่าเทียมกัน จี้รู้สึกว่าผู้หญิงน่าจะเลี้ยงยากกว่าผู้ชาย”
คำว่าไม่เท่าเทียมคืออะไร หมายถึงสิทธิเหรอ?
“ถูกต้องค่ะ ผู้ชายจะได้มากกว่าผู้หญิง มันยังไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งพอหมอบอกว่าเป็นผู้ชายก็โล่งอก อย่าลืมนะที่คูเวตผู้ชายสามารถมีเมียได้ 4 คน แต่สามีมีคนเดียว แต่เขาก็จะขู่เหมือนกัน มีได้นะ 4 คน เราก็ขู่กลับ ขออนุญาตก่อนไหม”
อยากมีลูกต่ออีกคนไหม?
“ไม่ค่ะ พอแล้ว แต่จี้ฝากไข่ สามารถที่จะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สามีบอกว่า 2 คนโอเคแล้ว พอแล้ว”
ภาพจาก Instagram : angieq8