‘ชูวิทย์’ เชื่อ โหวตนายกรอบหน้าก็เหมือนเดิม ถ้า ‘พิธา’ ไม่ยอมถอย ม.112
ชูวิทย์ แสดงความเห็นว่า โหวตนายกรอบหน้าก็เหมือนเดิม ถ้า ‘พิธา’ ไม่ยอมถอย ม.112 ชี้ไม่ใช่เรื่องเดียวที่สัญญาไว้กับประชาชน
นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองได้โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กภายหลังจากการโหวตนายกฯ ซึ่งผลออกมาว่านาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังไม่ได้เป็นนายกฯ หลังจากที่ไม่ได้รับคะแนนเสียงกึ่งหนึ่งในที่ประชุมเมื่อวานนี้
นาย ชูวิทย์ แนะนำว่าให้ถอยเรื่องแก้มาตรา 112 พร้อมชี้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ก้าวไกลสัญญาไว้กับประชาชน โดยระบุว่า “ถอยดีกว่า
วันนี้การโหวตเลือกนายกฯ ได้เห็นแล้วว่าไม่ผิดจากที่ผมพูดไว้ แผนสกัดพิธา “มีก้าวไกล ไม่มี ส.ว.” ไม่มีอะไรแปลกใจ แม้ว่าพิธายังยืนยันหลังผลการโหวตแพ้ว่าการต่อสู้ยังไม่จบ “ยอมรับ แต่ไม่ยอมแพ้”
โหวตครั้งที่ 2 หากมีโอกาส ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม ก้าวไกลจึงต้องถึงทางเลือกว่า “ยอมถอย เรื่อง ม.112 ดีกว่า” เพราะเป็นการสร้างความแตกแยก และเป็นเงื่อนไขให้พิธาไม่ได้เป็นนายกฯ
การขึ้นเป็นรัฐบาล ไม่จำเป็นที่ต้องยึดเรื่องปฏิรูปสถาบันเป็นหลัก มีเรื่องสารพันให้ทำอีกมากมาย ผมมั่นใจว่าใน 14 ล้านเสียง ไม่ได้ต้องการเรื่องปฏิรูปสถาบันมาเป็นเรื่องแรกๆ เสียด้วยซ้ำ ก้าวไกลได้คะแนนเสียงจาก “มีลุง ไม่มีเรา” ปฏิรูปกองทัพ ยุบ กอ.รมน. กฎอัยการศึก ล้มเผด็จการ รวมถึงกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้ประเทศไทยติดหล่มมาถึง 9 ปี นี่ต่างหากที่ก้าวไกลต้องปฏิรูป
วันนี้ยังมีโอกาสที่ก้าวไกลจะถอย หากไม่ดื้อ และยึดติดกับคะแนนเสียงมวลชนบางส่วน ทุกอย่างมีขึ้นและมีลง คะแนนเสียงไม่ได้อยู่กับก้าวไกลตลอดไป มันไม่ใช่ “การถ่มน้ำลายรดฟ้า” แต่เป็นการถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้าน ทั้งที่มีโอกาสเป็นรัฐบาล ทำงานเพื่อประชาชนไม่ใช่แค่ 14 ล้านเสียง แต่ต้องทำให้คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเลือกก้าวไกลหรือไม่ต่างหาก
บทพิสูจน์ของก้าวไกลก่อนจะสายเกินไป เรียนรู้การลำดับว่าอะไรที่สำคัญกับชาติบ้านเมืองก่อน ไม่มีใครทำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อยังไม่ถึงเวลาต้องทำ ม.112 ไม่ใช่เรื่องเดียวที่ก้าวไกลสัญญาไว้กับประชาชน ประเทศไทยยังมีอีกสารพัดเรื่องให้ทำหากเป็นรัฐบาล ผมรับประกัน
ม.112 เรื่องเดียวจะทำให้พิธาไม่ได้ทำเรื่องใหญ่เรื่องอื่นเลย พิธาย้ำเสมอว่า “เป็นผู้นำต้องมีสติ ไม่มุทะลุ รู้จักว่าเวลาไหนควรรุก เวลาไหนควรถอย” การดึงดันแก้ไข ม.112 แม้รู้ว่าปลายทางไม่มีทางผ่าน นอกจากตอบสนองความต้องการของมวลชนกลุ่มหนึ่งแล้วจะดันทุรังทำไปทำไม ทั้งที่สามารถบอกประชาชนได้ว่า
“ก้าวไกลเป็นรัฐบาลผสม ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว ไม่มีพรรคร่วมใดเห็นด้วยกับการแก้ไข ม.112 เลยแม้แต่พรรคเดียว”
หากต้องการเอา ม.112 มาเป็นเรื่องหลัก ขอให้ครั้งหน้าประชาชนเลือกพรรคก้าวไกลเกินครึ่งไปเลย ผมพูดจากประสบการณ์การเมือง และหาทางประนีประนอมเพื่อให้ก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ไม่ใช่เอาแต่ใจตัวเอง หรือฐานมวลชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ข้อแนะนำของผม คือ ยอมถอยดีกว่า
หากก้าวไกลแสดงให้เห็นว่ายอมถอย ม.112 แล้ว อำนาจเก่ายังไม่ถอย ก็ถึงคราวต้องรุกกลับ”
พร้อมยังได้เขียนคอมเม้นท์เพิ่มเติมด้วยว่า “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยยุบพรรค” “การเมืองคือการประนีประนอม
เวลาไหนควรรุก เวลาไหนควรถอย นักการเมืองที่ดีต้องรู้จักเรียนรู้ ไม่มีใครได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้นำประเทศ”