โฆษก บช.ก. ชี้ ‘ชูวิทย์’ รับเงิน ‘สารวัตรซัว’ อาจมีความผิด ฐานร่วมกันฟอกเงิน

โฆษกกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ชี้ ชูวิทย์ รับเงิน สารวัตรซัว อาจมีความผิด ฐานร่วมกันฟอกเงิน ต้องดูว่าเป็นเงินจากอะไร
พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บช.ก. ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมายอมรับว่าตนรับเงินสารวัตรซัว หรือ พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล แต่นำไปบริจาคทั้งหมดนั้น ในประเด็นนี้ ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางจะต้องพิจารณาก่อนว่าทางพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่ นายชูวิทย์ ได้มา เป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินจากการกระทำความผิด อาจสุ่มเสี่ยงที่จะต้องถูกดำเนินคดีในฐานความผิดร่วมกันฟอกเงิน
ส่วนกรณีของนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาแฉว่า มีตำรวจ 2 นายพล เข้าไปติดต่อ นายชูวิทย์ เลิกแฉคดีสารวัตรซัวนั้น จะต้องรอให้ทาง นายษิทรา นำหลักฐานเข้ามามอบให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อตรวจสอบว่ามีนายตำรวจกระทำตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่
เรื่องที่มีการโอนสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 50 ล้าน ให้กับบุตรของ นายชูวิทย์ ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเช่นกันว่ามาจากบุคคลใดและเป็นเงินที่มาจากการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้ผลการสอบสวนเส้นทางการเงินสารวัตรซัวล่าสุดนั้น ทางตำรวจสอบสวนกลางเองก็ยังคงเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ ซึ่งเมื่อวานเองทางตำรวจกองปราบฯ ก็ได้มีการเปิดปฏิบัติการเป็นครั้งที่ 2 กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 9 จุด ในพื้นที่ กทม.
จังหวัดจันทบุรี ตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง โน้ตบุ๊ค 4 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคาร 7 เล่ม คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง หน้าจอคอมพิวเตอร์ จำนวน 2 เครื่อง ไอแพด 1 เครื่องฮาร์ดดิสก์พกพา 1 อัน ซิมทรูโทรศัพท์ บัตรเอทีเอ็ม 2 ใบ และ เซิร์ฟเวอร์ กล้องวงจรปิด 1 เครื่อง พร้อมเชิญตัวบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องมาทำการสักถาม
จากเดิมที่เคยให้สัมภาษณ์ว่ามีบุคคลที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องประมาณกว่า 150 คน 60 องค์กร หลังจากสืบสวนสอบสวนตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างละเอียดจนเริ่มมีความแน่ชัดมากขึ้น ทำให้ขณะนี้สามารถจำกัดวงแคบขึ้นมาได้ซึ่งคาดว่าน่าจะมีบุคคลเกี่ยวข้องประมาณ 20-30 คน โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ที่ถือหุ้นอยู่ในกลุ่มบริษัทดังกล่าว ในลักษณะของการถือหุ้นไขว้ และกลุ่มบุคคลที่มีรายได้ไม่มากแต่กลับมีการถือครองทรัพย์สิน รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ มากผิดปกติ ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป