ญาติน้องวีน สอบติดหมอ แจงดราม่ายืนยันบ้านจนจริง
ญาติผู้ใหญ่ น้องวีนรับบริจาค พูดชัดครอบครัวของเด็กยากจนจริง รายได้จากกรีดยาง 300 – 400 บาท วอนสังคมอย่าทำร้ายครอบครัวเปราะบาง อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนช่วยแจงอีกเสียงเก็นมีไอโฟน มีโน๊ตบุ๊ค ไม่ได้บ่งบอกว่าไม่จนจริง
จากรณี นายกันตภณ เต่าจันทร์ หรือ น้องวีน เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนปัญญาวุธ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง กลายเป็นข่าวดังกรรีสอบคัดเลือกเป็นนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แต่มีปัญหาเรื่องทุนการศึกษาเนื่องจารกทางบ้านมีฐานะยากจน กระทั่งมีการเปิดรับบริจาคบนโลกโซเชียล แต่ต่อมาก็มีการตำหนิว่าครอบครัวนี้ไม่ได้ยากจนจริงตามที่เป็นข่าวขนเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ตามมานั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ม.ค.66 ที่ผ่านมา นายพิเชษ พลอยดำ อายุ 55 ปี ญาติผู้ใหญ่ของครอบครัวน้องวีนและเป็นคนที่ถูกหมอบมหายให้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องดังกล่าวด้วยนั้น ได้เดินทางมาพบสื่อมวลชน จ.พัทลุง เพื่อให้รายละเอียด
นายพิเชษฯ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากทางญาติๆให้เข้าไปดูแลครอบครัวนี้ซึงก็พบว่าเป็นครอบครัวที่ยากจนจริง มีรายได้จากการกรีดยางจ้าง-รับซื้อเศษยางประมาณ 300 – 400 บาท ต่อมาก็ได้รับการช่วยเหลือเงินในการไปซื้อข้าวสาร น้ำมันพืช ฯลฯ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว และได้นำเรื่องนี้ขึ้นเฟสบุ๊กของตนเพื่อระดมทุนให้เด็กได้เรียนจบ ม.6
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สังคมดราม่าว่าครอบครัวนี้ไม่จนจริง ซื้อโทรศัพท์เครื่องแพงๆให้น้องวีนนั้น
นายพิเชษ กล่าวว่า น้องวีนไม่ได้เรียนพิเศษจากโรงเรียนจากสำนักนักติวเตอร์ มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากฮอนไลน์ เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสอบศึกษาต่อคณะแพทย์ตามความมุ่งมั่นและความฝันของเด็กจึงมีความจำเป็นยิ่ง ถึงแม่จะไม่มีเงินก็ต้องหายืมเงินเขามา
โดยมีการผ่อนเป็นงวดๆ เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การเรียนเพื่ออนาคตของลูก การที่สังคมกล่าวโจมตีครอบครัวนี้ที่เปราะบางนั้นเพราะสังคมไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของครอบครัวนี้เป็นอย่างไร ก็ต้องขอขอบคุณโซเซียลที่ได้ทำให้มีผู้มีเมตตาจิตส่งเงินมาช่วยเหลือครอบครัวน้องวีนในครั้งนี้
ส่วนคนที่กล่าวโจมตีน้องวีนเขาคงไม่รู้ว่าความลึกตื้นหนาบางของน้องวีนมันคืออะไร และคงไม่รู้ว่าครอบครัวในวันที่ไม่มีจะกินมันเจ็บปวดขนาดไหน และน้องวีนคือต้นกล้าทางการแพทย์ ตนจึงคิดเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ว่าครอบครัวของน้องนั้นมีความทุกข์บนความโชคดีที่พี่น้องประชาชนได้รับการแบ่งบันจิตศรัทธามาให้
ขณะที่ นายสมคิด ทองสง อดีต ผอ.โรงเรียนบางแก้วพิทยาคม วัย 72 ปี ซึ่งเดินทางมาให้ควาใช่วยเหลือรวมถึงให้รายละเอยีดกับสื่อมวลชนก็กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า การที่เด็กมีไอโฟน มีโน๊ตบุ๊ก มิได้บ่งบอกว่าเขามีเงิน
การที่เขา (น้องวีน) มีความพร้อมด้านการสมองแต่ไม่ไปเรียนต่อที่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเพราะเขาไม่มีเงิน การที่เขาไปซื้อโน๊กบุ๊กมาใช้เพราะเขาต้องการนำมาค้นคว้าหาความรู้ เพราะโรงเรียนก็ไม่ได้ช่วยเขาทั้งหมด เขาต้องช่วยตัวเองเพราะเขาตั้งใจจะเป็นหมอจึงต้องใช้สื่อที่ทันสมัย จนทำให้แม่ต้องเป็นหนี้นับแสนหรือมากกว่านั้น ตนจึงขอฝากไปยังทุกฝ่ายว่าเวลาเราจะพิจารณาใครจะต้องพิจารณาให้รอบด้าน อย่าเอาสิ่งที่ปรากฏหรือคนอื่นบอกกล่าว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้มาคิดเอง ส่วนแม่นั้นก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับยอดเงินดังกล่าวแต่อย่างใด