ข่าวข่าวภูมิภาคผู้หญิง

อาลัยทันตแพทย์สาว พี่ชายเขียนให้แง่คิดสุดเศร้า เตรียมใจแค่ไหนก็ไม่พอ

พี่ชายเขียนถึงน้องสาวซึ่งเป็นคุณหมอที่ต้องจากไปด้วยมะเร็งร้าย ระบุ เตรียมใจแค่ไหนก็ไม่พอ ส่งต่อแง่คิดดีๆให้กับอีกหลายคนที่ยังมีลมหายใจ

เป็นเรื่องราวโพสต์อาลัยที่พี่ชายของคุณหมอท่านหนึ่งได้เขียนถึงน้องสาวของตัวเองที่ต้องจากไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกส่งต่อกันบนโลกออนไลน์จำนวนมาก หลายคนยอมรับ เป็นโพสต์ที่ให้แง่คิดต่อการใช้ชีวิตได้ดีเอามากๆ โดยเนื้อหาของโพสต์ระบุไว้ ดังนี้

#ยามเมื่อดอกไผ่บาน ตอนอรรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งที่ปอด หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกแค่ 6 เดือน แต่อรก็สู้รักษาตัวอยู่มาได้นี่ก็ย่างเข้าปีที่สามแล้ว ทำให้อรมีเวลาเตรียมตัวทั้งเรื่องพินัยกรรม ทั้งเรื่องการเขียนสมุดเบาใจสั่งเสียร่ำลา ทั้งการเลือกแบบโลงศพ ทั้งการฝึกปฏิบัติภาวนา ทั้งการขออโหสิและให้อภัยคนที่เคยขุ่นเคือง

เจอหน้ากันเดือนก่อน อรบอกว่าพร้อมไปละ แต่นั่นแหละ … สมองกับจิตมันคนละส่วนกัน สมองอาจคิดได้แต่จิตจะเชื่อหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องนึง สองสัปดาห์ก่อน อรถูกส่งเข้า ICU มะเร็งลามไปทั่วตัว หมอเจาะใส่สายทั่วร่างกาย มะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมากขนาดมอร์ฟีนก็เอาไม่อยู่

อรหายใจลำบากเพราะมะเร็งกินปอดเกือบหมดหมอต้องให้ออกซิเจน แต่ที่แย่คือร่างกายมันไม่หลับ ยานอนหลับเอาไม่อยู่ อรมีสติรับรู้เกือบตลอดเวลายังคุยได้แบบเบลอ ๆ

วันก่อนหมอให้ตามญาติมาเพื่อสั่งเสีย เพราะอรพร้อมไปตลอดเวลา จากนั้นหมอแนะนำว่าควรให้คนไข้ Drip ยาเพื่อค่อย ๆ หลับและจากไปจะได้ไม่ทรมาน

การ Drip ยานอนหลับหรือยาระงับประสาท เป็นการไปกดประสาทเพื่อให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บจะได้หลับและจากไปอย่างสงบ เราไม่ได้ไปหยุดหรือแทรกแซงกระบวนการทำงานของร่างกาย มันหยุดของมันเอง ไม่ถือเป็นการฆ่าตัวตายหรือการุณยฆาต ต่างจากการุณยฆาต ที่ระบบร่างกายยังไม่ล้มเหลวแต่เจ้าตัวไม่อยากทนอีกต่อไป หมอจะฉีดยาให้หัวใจหยุดเต้นเพื่อให้หลับไป ซึ่งในทางพุทธถือเป็นการฆ่าตัวตายและเมืองไทยกฏหมายยังไม่ยอมรับ ยังไม่สามารถทำได้

คำถาม … ถึงตอนนั้นถ้าเราเป็นผู้ป่วยและยังมีสติรู้ตัว เราจะยอม Drip ยามั๊ย

จำได้มั๊ยว่าก่อนหน้านี้อรบอกว่าอรพร้อมที่จะไป อีกอย่างอรเป็นหมอฟัน อรเข้าใจขั้นตอนทางการแพทย์ดีแสดงว่าอรก็น่าจะยอมรับได้

อย่างที่บอก … สมองกับจิตมันคนละส่วนกัน เพราะพออรรู้ว่าหมอแนะนำให้ Drip ยา อรกลับร้องไห้ไม่อยากทำ อรยังไม่อยากไป อรขอเวลาทำใจ

คิดดูทั้ง ๆ ที่เจ็บทรมานขนาดนี้สลึมสลือตลอดเวลาแต่จิตข้างในมันก็ยังไม่ยอม มันยึด มันหวงกาย เพราะเป็นธรรมชาติของจิตมนุษย์ทุกคนที่ต้องหวงกายเพื่อดำรงเผ่าพันธ์

ตอนกลางคืนชั่วขณะนึงผมมีโอกาสอยู่กับน้องอรสองคนในห้อง ICU อรถามเศร้า ๆ ว่า “อรจะอยู่บนโลกนี้วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเหรอพี่ทอม … พรุ่งนี้อรค่อยให้คำตอบได้มั๊ยอะ ”

ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อกันว่าจิตสุดท้ายก่อนตายเป็นสิ่งสำคัญมาก ตอนอรฝึกภาวนาใหม่ ๆ ผมกับอ้นก็บอกว่าครูบาอาจารย์ท่านบอกฝึกไว้เพื่อจะได้เอาไว้ใช้ก่อนตาย เพราะตอนร่างกายจะแตกดับ เวทนาความเจ็บปวดจะแรงกล้ามาก ไหนจะเจ็บปวด ไหนจะคนมารุมล้อม ไหนจะห่วงนู่นนี่นั่นสารพัด จิตก็จะฟุ้งไม่สงบและเศร้าหมอง จะดีกว่ามั๊ยหากเราฝึกวางได้เหมือนซ้อมก่อนตาย เพราะเมื่อต้องตายจริง ๆ จิตจะได้วางได้

อรฝึกภาวนาฝึกซ้อมก่อนตายมาเป็นปี ถึงเวลาจริง ๆ อรยังบอกผมว่า เอาเข้าจริงมันยากมาก ๆ เลยนะพี่ทอมที่จะมีสติบอกว่าวาง … มันเจ็บ

ครูบาอาจารย์บอกว่า — การมีสติสัมปชัญญะพร้อมตายนั่นแหละดีที่สุดจะไปภูมิที่ดี คนเราไม่ได้ตายจริงแค่เปลี่ยนร่างเฉย ๆ จิตไม่ตาย แต่จะไปตามอุปทานจิตก่อนตาย ถ้าจิตใจสบายไม่วิตกกังวลก็ไปสุคติภูมิ ถ้าวิตกกังวลมากก็ไปภูมิต่ำ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่กังวล อยู่กับลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ไม่วิตกกังวล จิตก็จะแจ่มใสไม่เศร้าหมอง … ก็จะไปสุคติภูมิ

วันรุ่งขึ้นอรยอมรับ … แต่ขอไม่ใช่ที่ห้อง ICU

อรขอ 3 ข้อ

ข้อแรก : ขอเป็นห้อง VIP ที่มีส่วนแยกระหว่างห้องผู้ป่วยกับห้องรับแขก

ข้อสอง : ขอเพื่อนฝูง-ญาติพี่น้องให้อยู่แต่ในห้องรับแขก และปิดประตูห้ามร้องไห้ให้ได้ยิน

ข้อสาม : ขออรอยู่กับหมอเพียงสองคน ห้ามมีคนมาจับมือ ห้ามมีคนมารุมล้อมหรือมีคนมาพูดคุยสั่งเสียอะไรอีก อรอยากจากไปอย่างสงบเงียบ ๆ คนเดียว

ตลอดเวลาตั้งแต่ห้อง ICU ย้ายลงมาห้อง VIP แม้นจะสลึมสลือเพราะฤทธิ์ยาแต่อรยังคุยรู้เรื่อง ยังคงครองสติได้ดีและมีกำลังใจที่ดี
การ Drip ยามี 3steps หมอจะให้ทางสายยาง ปกติผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้แค่ Step1 ก็จะหลับไม่รู้ตัวแล้วก็จากไป แต่อาจเพราะอรสติดีมากยังรู้ตัว ผ่านไปหนึ่งคืนหมอเลยให้ Step2

แต่สุดท้ายอรขอให้พี่เหลียงสามีมายืนข้างเตียงคนเดียว และขอให้จับมือเป็นเพื่อนไปเรื่อย ๆ ส่วนเรอิลูกสาว อรขอให้มาหลังอรจากไปแล้วเพราะกลัวเรอิร้องไห้ อรไม่อยากพะว้าพะวัง

ฝนตกหนักตั้งแต่เมื่อวาน ต้นหางนกยูงฝรั่งเริ่มแตกดอกส้ม-เหลือง-แดง ตามริมทาง

ที่โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต
วันเสาร์ที่ 14 พย. 2564 เวลา16.47 น.
น้องหมออรก็ได้ออกเดินทางไกลและจากไปอย่างสงบในวัย 42 ปี ♥️

“ดอกไผ่บานพยานแห่งรัก
บานเพื่อลาจากเจ้าจงปล่อยวาง
ความเข้มแข็งจะคอยเข้าข้าง
ความอ่อนแอจะต้องแพ้พ่าย
ดอกไผ่งามเบิกบานในใจ
ยังเฝ้าเก็บไว้เพื่อใครคนนั้น
นานเท่าใดคงไม่สำคัญ
จะคอยเติมฝันถึงวันที่ดอกไผ่บาน”

เพลง : ดอกไผ่บาน
ศิลปิน : คาราบาวและปานธนพร

( หมายเหตุ: ปกติอรไม่ฟังเพลงเพื่อชีวิต แต่พอดีพี่เหลียง Nithi Ruktaetrakul สามีอรเปิดเพลงนี้ให้ฟังช่วงป่วย อรชอบความหมายของเพลง คือในช่วงชีวิตของต้นไผ่จะออกดอกเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อดอกไผ่บานจะทิ้งเมล็ดลงสู่พื้นดิน เมล็ดไม่สามารถที่จะเติบโตใต้ร่มเงาได้ ต้นแม่จะค่อย ๆ ตายลง ส่วนเมล็ดไผ่นับหมื่นนับแสนก็จะรอวันเจริญเติบโต — สิ่งหนึ่งต้องยอมดับ เพื่อก่อเกิดอีกหลายสิ่ง )

 

Pachara

นักเขียนประจำที่ Thaiger จบการศึกษาด้านศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เคยผ่านประสบการณ์ผู้สื่อข่าวกีฬา เริ่มเขียนบทความกับ Thaiger ตั้งแต่ปี 2021 วิ่งกับการอ่านหนังสือ คือ กิจกรรมที่สนใจเป็นพิเศษ ช่องทางติดต่อ pachara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button