Huawei ชี้ “5G” คือยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก
นาย กัว ผิงประธานกรรมการบริหารแบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ย ได้ขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวที Web Summitและได้เชิญชวนให้กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลกหันมาใช้ประโยชน์จากโอกาสทองจากการมาถึงของ5G ที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีอื่นๆ.
นายกัว ผิง ได้กล่าวในหัวข้อ“5G+Xสร้างสรรค์ยุคอัจฉริยะ”ว่า 5G+X ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยีต่างๆ อาทิเช่น เช่น AI,big data, VRและ ARจะผลักดันให้เกิดการเติบโตชนิดก้าวกระโดดราวกับตอนที่โลกของเราได้มีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ 20. อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่าแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อการใช้งานกับเทคโนโลยีเหล่านี้ต่างหากที่จะสามารถสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง ดังที่เห็นได้จากยุคอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนักพัฒนาแอปพลิเคชันคือผู้ที่มักจะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่มากที่สุด และมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดด้วย.
5Gจะมาเร็วกว่าที่คาด
ประสบการณ์รูปแบบใหม่ๆ ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยี 5Gต่างได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค และภายในปลายปีนี้ เขาคาดว่าจะมีเครือข่ายเทคโนโลยี5G ในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 60 เครือข่าย.
ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศเกาหลีใต้ได้มีผู้ลงทะเบียนการใช้งาน 5Gมากถึง 1 ล้านคนภายในเวลาเพียง 69 วันเท่านั้น ซึ่งถือว่ารวดเร็วมากหากเทียบกับตอนที่ 4Gเปิดให้บริการเป็นครั้งแรก ที่ต้องใช้เวลากว่า150 วันจึงจะมีผู้ลงทะเบียนใช้งานในจำนวนเท่ากันที่ 1 ล้านคน. นอกจากนี้การมาถึงของ 5Gยังมอบประโยชน์ให้แก่ผู้ให้บริการสัญญาณด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้ใช้บริการ 5Gใช้งานปริมาณดาต้าเวลามากกว่าผู้ใช้งาน 4Gถึงสามเท่า.
“ด้วยความเร็วการเชื่อมต่อระดับสูง ความหน่วงของสัญญาณที่ต่ำ และการรองรับการเชื่อมต่อปริมาณมหาศาลของ 5G ทำให้เทคโนโลยีนี้สามารถรองรับประสบการณ์การใช้งาน Internet of Things(IoT) ที่เหนือชั้นได้อย่างไร้ปัญหา ซึ่งในอนาคต 5Gจะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนอย่างนับไม่ถ้วน” นายกัว ผิง กล่าว.
5G+Xจะขับเคลื่อนการยกระดับในภาคอุตสาหกรรม โดยมีแอปพลิเคชันเป็นหัวใจสำคัญ
นายกัว ได้ยกตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่าการผสมผสาน 5Gกับเทคโนโลยีอื่นๆ อาทิเช่น AI, ARและVRจะสามารถยกระดับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น 5Gจะเปิดโอกาสให้นักดนตรีสามารถจัดคอนเสิร์ตทางไกลร่วมกัน และแสดงผลภาพแบบเรียลไทม์ที่ความละเอียด 8K. การใช้เทคโนโลยี 5G+AR+AIจะช่วยยกระดับความปลอดภัยของพนักงานในโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการปฏิบัติการและการบำรุงรักษา. นอกจากนี้การใช้AIยังช่วยให้แพทย์สามารถตรวจคนไข้จากระยะไกลแบบเรียลไทม์ได้ โดยเขายังได้เน้นย้ำว่าแอพพลิเคชันและซอฟต์แวร์ต่างๆ คือตัวที่จะสามารถสร้างมูลค่าที่แท้จริงทางเศรษฐกิจได้มากที่สุด และผู้ชนะที่แท้จริงก็คือพาร์ทเนอร์ของหัวเว่ยที่อยู่ในตลาดซึ่งมีมูลค่าสูงถึงหลักล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนี้นั่นเอง.
หัวเว่ยมุ่งมั่นส่งเสริมการพัฒนาแอปพลิเคชัน
นายกัว ผิง ยังได้เน้นย้ำว่าหัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายต่างๆ ในการวางรากฐานให้กับอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์สามารถแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในอนาคตหัวเว่ยจะมุ่งเน้นไปในด้านอุปกรณ์มือถือและเทคโนโลยีคลาวด์เป็นหลัก. โดยเขาได้อธิบายถึงโครงการที่หัวเว่ยได้วางเอาไว้เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาที่ต้องการจะใช้โอกาสจากเทคโนโลยี 5G+Xอย่างเต็มที่ ซึ่งหัวเว่ยได้ริเริ่มไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Huawei Developer Program 2.0และโครงการ Shining-Star Programซึ่งบริษัทได้ใช้เม็ดเงินลงทุนกับโปรแกรมHuawei Developer Program2.0 ไปแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขยายศักยภาพให้สามารถรองรับนักพัฒนาถึง 5 ล้านคนได้ และยังได้ใช้เงินลงทุนอีกกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในโปรแกรมShining-Star Programเพื่อดึงดูดแอปพลิเคชันระดับคุณภาพจำนวนมากเข้าสู่อีโคซิสเต็มของHuawei Mobile Services(HMS). โดยอีโคซิสเต็มHuawei Mobile Servicesจะกระตุ้นให้นักพัฒนาผสมผสานและปรับแต่งแอปพลิเคชันของพวกเขาให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับสถานการณ์การใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ.
นาย กัว ผิง ยังกล่าวสรุปในตอนท้ายว่า“5G+Xเปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งยุคใหม่ ราวกับการมาถึงของไฟฟ้า และจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาเราเข้าสู่โลกอัจฉริยะ ซึ่งหัวเว่ยเองก็มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และบริษัทสตาร์ทอัพ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน5G+Xและก้าวสู่ยุคอัจฉริยะอย่างเต็มตัว”.