
จากตัวเลขมรณะ 177 สู่ความจริงใหม่ 78 กม./ชม. โดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก – เมื่อพิสูจน์หลักฐาน, ตำรวจ, และศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมไทย ถูกตั้งคำถามครั้งใหญ่
ในคดีอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สังคมไทยจับตามอง บางครั้งตัวเลขเพียงชุดเดียวอย่าง “ความเร็วรถยนต์ขณะเกิดเหตุ” ก็ทรงพลังพอที่จะเปลี่ยนสถานะของคนธรรมดาคนหนึ่ง ให้กลายเป็น “ฆาตกรเลือดเย็น” ในสายตาคนทั้งประเทศได้ภายในชั่วข้ามคืน
เมื่อการพิสูจน์หลักฐานของตำรวจไทย ไม่ได้มาตรฐานสากล ความโกลาหลต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ในคดีขับรถชนคนตายซึ่งเป็นคดีดังในสปอตไลท์ของบ้านเรา รายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานในไทย ได้ระบุตัวเลขความเร็วรถคู่กรณีไว้สูงลิ่วที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทันทีที่ตัวเลขนี้ถูกส่งต่อผ่านสื่อ มันแพร่กระจายไปบนโลกโซเชียลราวกกับไฟลามทุ่ง พร้อมกับคำพิพากษาล่วงหน้าจากคอมเมนต์นับหมื่นที่ตัดสินไปแล้วว่า “ขับเร็วขนาดนี้ ตายก็สมควร”
แต่แล้วจุดพลิกผันก็เกิดขึ้น เมื่อต่อมา ศาสตราจารย์เฮอร์มันน์ สเตฟาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจำลองอุบัติเหตุระดับโลก ได้ก้าวเข้ามาตรวจสอบคดีนี้ใหม่ให้เป็นตามมาตรฐานสากล ผลลัพธ์ที่ได้กลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือ:
- รถยนต์คันก่อเหตุ: ความเร็วขณะเกิดเหตุ ไม่เกิน 80 กม./ชม.
- รถจักรยานยนต์ที่ถูกชน: ความเร็วราว 29 กม./ชม. และเป็นฝ่ายเปลี่ยนเลนตัดหน้าในระยะกระชั้นชิดเพียง 1 วินาที ก่อนชน
คำถามสำคัญที่ดังขึ้นในใจของทุกคนตอนนี้ คือมาตรฐานการคิดคำนวณเรื่องความเร็วของการพิสูจน์หลักฐานของไทยเชื่อถือได้มากแค่ไหน เพราะความเร็วถือเป็นหลักฐานสำคัญของรูปคดี การคำนวนที่คลาดเคลื่อนมหาศาลขนาดนี้ มันมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนได้เลย?
ตัวเลข 177 กม./ชม ของตำรวจพิสูจน์หลักฐานคำนวณโดยใช้อะไร และทำไมพอทีมผู้เชี่ยวชาญสากลเข้ามา ตัวเลขที่ได้จากการคำนวนทั้งทฤษฎีและเทคโนโลยีจึง เหลือแค่ 80 กม./ชม. ต่างกันเท่ากว่าเลยทีเดียว
สาเหตุความขัดแย้งนี้ มาจากวิธีการพิสูจน์หลักฐานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งการคำนวณครั้งแรกของเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานของไทยมีจุดบกพร่องที่น่ากังวลหลายประการ เช่น
- ใช้คลิปหน้าจอ (Screen Recording): แทนที่จะใช้ไฟล์ต้นฉบับ ทำให้เฟรมเรทและเวลาคลาดเคลื่อน
- จุดอ้างอิงผิดพลาด: เลือกใช้ “ความยาวตัวรถ” แทนที่จะวัด “ระยะที่รถเคลื่อนที่จริงบนถนน”
- ช่วงเวลาที่ผิดเพี้ยน: การคำนวณเวลาที่ยาวเกินจริงเกือบสองเท่า ส่งผลให้ตัวเลขความเร็วพุ่งสูงเกินความเป็นจริงไปไกล
ทีนี้กลับมาดูวิธีการทำงานของคณะทำงานด้านพิสูจน์ความเร็วที่เป็นสากลกันบ้าง
เมื่อสเตฟานเข้ามามีส่วนร่วมในการพิสูจน์ความเร็วในคดีนี้ เขาเลือกที่จะล้างกระดานและเริ่มต้นพิสูจน์หลักฐานใหม่ด้วยมาตรฐานสากล โดยเริ่มจาก
– ใช้ไฟล์วิดีโอต้นฉบับ เพื่อความแม่นยำสูงสุด
– วัดระยะจริง ของการเคลื่อนที่บนถนน
– ปรับจูนเวลา ให้ตรงกับเฟรมเรตจริงของกล้อง
– นำซอฟท์แวร์ Simulator เข้ามาช่วยจำลองเหตุการณ์จริง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ ซึ่งในเคสนี้ใช้PC-Crash ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ที่ใช้กันมากในหน่วยงานตำรวจและหน่วยงานพิสูจน์หลักฐานอุบัติเหตุในประเทศ ที่มีกระบวนการพิสูจน์หลักฐานที่แข็งแรง เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมัน และ อังกฤษ โดยเหตุที่มีการนำ PC Crash เข้ามาใช้ เพราะ ข้อมูลและผลลัพธ์ที่ได้มีน้ำหนักทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง พอที่จะหักล้างการคำนวณแบบเดิมที่อาจหยาบและคลาดเคลื่อนได้ และถือเป็นซอฟท์แวร์ที่ได้รับการยอมรับจากศาลทั่วโลก
– มีการทดสอบภาคสนาม โดยทดสอบการชนจริง ในสนามทดสอบ เพื่อยืนยันผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์

ผลสรุปที่ได้ชัดเจนและไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด คือรถยนต์ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วตีนผีระดับ 177 กม./ชม. ตามข้อมูลที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานกลางเป็นผู้สรุป แต่อยู่ในช่วงปกติที่ไม่เกิน 80 กม./ชม. ในขณะที่รถจักรยานยนต์เป็นฝ่ายเปลี่ยนเลนกะทันหัน
ความจริงชุดใหม่นี้ไม่ได้แค่เปลี่ยนตัวเลข แต่มันเปลี่ยน “ภาพจำ” ของคดีจาก “คนขับรถซิ่งฆ่าคน” ไปสู่ “อุบัติเหตุสุดวิสัยที่ต้องพิจารณาพฤติกรรมของทั้งสองฝ่าย”
ทีนี้มาดูกันว่าทำไมมันควรถึงเวลาซะที ที่ประเทศไทยควรจะเริ่มให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความเป็นมืออาชีพของกระบวนการพิสูจน์หลักฐาน และนำเอาซอฟท์แวร์ที่เป็นสากลเข้ามาใช้ในการทำงาน เพื่ออุดช่องว่างของความผิดพลาดและการคอรัปชั่นใด ๆ
นอกจากความเร็วที่ขึ้นๆลงๆ คดีนี้ยังเปิดแผลใหญ่เรื่องโครงสร้างการทำงานของหน่วยงานรัฐ เช่น ทำไม “พิสูจน์หลักฐาน” ถึงทำงานแทน “ตำรวจจราจร”?
ตามหลักสากล ตำรวจจราจร ควรเป็นเจ้าภาพหลักในการสอบสวนอุบัติเหตุ โดยมี พิสูจน์หลักฐาน คอยสนับสนุนด้านนิติวิทยาศาสตร์ เช่น ตรวจดีเอ็นเอ หรือสภาพรถ
แต่ในคดีนี้ กลับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานที่ก้าวเข้ามาคำนวณความเร็ว ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดของคดี จนเกิดคำถามตามมาว่า
- เหตุใดจึงทำงานซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงาน หรือจะมีการ “เลือกปฏิบัติ” ให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำหน้าที่ เพราะต้องการผลลัพธ์ในทิศทางที่กำหนดไว้?
- ข้อมูลที่เป็นหัวใจสำคัญและมีผลต่อการกำหนดรูปคดีขนาดนี้ทำไมไม่มีระบบตรวจสอบซ้ำ (Peer Review) จากผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ อีก ก่อนจะปล่อยรายงานที่มีผลต่อชีวิตคนออกมา?
ช่องโหว่เหล่านี้เปิดโอกาสให้เกิดความผิดพลาด หรือแม้กระทั่งการแทรกแซง หรือช่องว่างให้เกิดการคอรัปชั่น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความยุติธรรม โดยเฉพาะคดีที่จำเลยเป็นคนที่รู้จักหรือมีฐานะยิ่งมีโอกาสเป็นตกเป็นเหยื่อชั้นดี
เมื่อศาลโซเชียลพิพากษาเร็วกว่าศาลยุติธรรม
บทเรียนราคาแพงอีกอย่างจากคดีนี้ คือพฤติกรรมของสังคมไทยที่ “ตัดสินคน” เร็วกว่ากระบวนการยุติธรรม ทันทีที่ตัวเลข 177 กม./ชม. หลุดออกมา ผู้ต้องสงสัยถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรในทันที ชีวิตส่วนตัว หน้าที่การงาน และครอบครัวพังทลายลง ทั้งที่ศาลยังไม่ทันได้รับฟ้อง
เนื่องจากมีผู้เสียชีวิต ข้อมูลเรื่องความเร็วที่สูงขนาดนั้นจึงเป็นเหมือนเชื้อเพลิงจุดไฟที่ทำให้ สังคมโกรธแค้น ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องไปหากันต่อว่าทางจำเลยของคดีได้มีการเยียวยาชดใช้ครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่
แต่เมื่อความจริงชุดใหม่จากผู้เชี่ยวชาญระดับสากล ปรากฏ สื่อกลับให้พื้นที่น้อยกว่าตอนนำเสนอข่าวร้าย ปรากฏการณ์นี้สะท้อนนิสัยที่น่ากลัวของเรา:
- เราเชื่อ “เสียงด่าแรก” ที่ดังที่สุดเสมอ
- เราชอบแชร์เรื่องที่กระตุ้นอารมณ์โกรธ มากกว่าข้อมูลที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ
- เราไม่เคยกลับไป “ขอโทษ” หรือเยียวยาคนที่ถูกเราตัดสินผิดไปแล้ว
อย่าให้ “ตัวเลข” กลายเป็นอาวุธ

เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราจำเป็นต้องเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง
- แบ่งงานให้ชัด: ตำรวจจราจรต้องเป็นหลักในการสอบสวน พิสูจน์หลักฐานหนุนเสริมด้านเทคนิค
- ต้องมีการตรวจซ้ำ: รายงานสำคัญต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงอย่างน้อย 2 คน หรือใช้ซอฟต์แวร์ระดับสากลที่ได้มาตรฐานมาประกอบ เนื่องจากเป็นข้อมูลสำคัญ
- เปิดเผยข้อมูล: รายงานเทคนิคต้องโปร่งใส ตรวจสอบที่มาที่ไปของตัวเลขได้
- สื่อต้องทำการบ้านมากกว่านี้: เลิกพาดหัวด้วยตัวเลขที่ยังไม่ได้รับการยืนยันวิธีการคำนวณ และต้องให้พื้นที่แก้ข่าวเมื่อความจริงปรากฏ
- สังคมต้องใจเย็น: หัด “เอ๊ะ” และรอฟังข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนจะพิมพ์คอมเมนต์ตัดสินชีวิตใคร
นี่ไม่ใช่เรื่องของคดีใดคดีหนึ่ง เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน ตราบใดที่คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน การพิสูจน์หลักฐาน ที่ออกมาจากหน่วยงานรัฐก็จะยังคงถูกตั้งคำถามถึงมาตรฐานและความโปร่งใสต่อไป
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





