การเงินเศรษฐกิจ

ETF คืออะไร? ทำไมปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกหันมาใช้ แทนการเลือกหุ้นทีละตัว

เจาะลึก ETF ปี 2025 เงินลงทุนไหลเข้ามหาศาล ไขคำตอบ ทำไมถึงชนะใจนักลงทุนมือใหม่และมือเก๋า ในยุคที่การเลือกหุ้นรายตัวยากกว่าที่เคย

ย้อนกลับไปในโลกการลงทุนช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราอาจคุ้นเคยกับการลงทุน 2 รูปแบบหลัก คือการกัดฟันเลือกหุ้นรายตัว วิเคราะห์งบการเงิน คาดเดาทิศทางตลาด หรือไม่ก็ ซื้อกองทุนรวมแบบดั้งเดิม แล้วปล่อยให้ผู้จัดการกองทุนดูแลเงินของเรา

แต่ในปี 2025 นี้ มีคลื่นการลงทุนลูกที่ 3 กำลังก่อตัวเป็นสึนามิขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่ามันกำลังจะเปลี่ยนวิธีที่คนทั่วโลกสร้างความมั่งคั่งไปตลอดกาล นั่นคืิ ETF (Exchange Traded Fund)

ข้อมูลล่าสุดในช่วงกลางปี 2025 พบว่า กระแสเงินทุนไหลเข้า ETF ทั่วโลกพุ่งสูงเกินกว่า 0.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว ตัวเลขนี้เติบโตขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024

รายงานการสำรวจนักลงทุนนานาชาติในปี 2025 ชี้ชัดว่า 61% ของนักลงทุนได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน ETF มากขึ้น กว่า 75% มีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะซื้อ ETF เพิ่มเติมภายในสองปีข้างหน้า

ทำไมปี 2025 จึงเป็นปีทองของ ETF

1. สงครามค่าธรรมเนียมที่ผู้บริโภคชนะ

ในอดีต การลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบดั้งเดิม (Active Mutual Funds) มักมาพร้อมกับค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงลิ่ว (อาจสูงถึง 1.5% – 2.5% ต่อปี) เพราะเราต้องจ่ายเงินเดือนให้ผู้จัดการกองทุนและทีมงานในการพยายามเลือกหุ้นเพื่อเอาชนะตลาด

แต่สถิติในระยะยาวพิสูจน์ให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า กองทุนส่วนใหญ่แพ้ตลาด

ETF โดยเฉพาะประเภทที่อิงดัชนี (Passive ETF) ได้เข้ามาทลายกำแพงนี้ ด้วยการเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน บางกองทุนในต่างประเทศคิดค่าธรรมเนียมเพียง 0.03% ต่อปี ในโลกที่ผลตอบแทนผันผวน สิ่งเดียวที่นักลงทุนควบคุมได้คือ ต้นทุน และ ETF มอบคำตอบที่ถูกที่สุด

2. ความยืดหยุ่นที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่

จุดอ่อนสำคัญของกองทุนรวมดั้งเดิมคือการซื้อขายได้เพียงวันละครั้ง ณ ราคาปิดสิ้นวัน (NAV) แต่ ETF ซื้อขายได้เหมือนหุ้น คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อหรือขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด ทำให้มันมีความยืดหยุ่นสูงมาก

นักลงทุนสามารถใช้ ETF เพื่อปรับพอร์ตตามข่าวสารที่เกิดขึ้นระหว่างวัน หรือตั้งราคาซื้อขายที่ต้องการได้ทันที มันคือการรวมความสะดวกของกองทุน เข้ากับความคล่องตัวของหุ้น

3. ประตูสู่สินทรัพย์ที่หลากหลาย ซับซ้อน

ปี 2025 ไม่ใช่ยุคที่นักลงทุนพอใจแค่หุ้นกับพันธบัตรอีกต่อไป กระแสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternatives) มาแรงมาก ETF ได้กลายเป็นประตูที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงสินทรัพย์ที่เคยถูกจำกัดไว้เฉพาะกลุ่ม เช่น

  • Crypto ETFs: การอนุมัติและเติบโตของ ETF ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิตคอยน์หรืออีเธอร์เรียม ถือเป็นการปฏิวัติที่ดึงดูดเงินทุนมหาศาลจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยที่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลเอง

  • Thematic ETFs: ETF ที่เจาะจงธีมแห่งอนาคต เช่น ธีม AI, ธีม Robotics, ธีมพลังงานสะอาด (ESG) หรือแม้แต่ธีม E-Sports ทำให้นักลงทุนสามารถวางเดิมพันกับการเติบโตในอุตสาหกรรมที่ตนเองเชื่อมั่นได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปไล่เลือกหุ้นเองทีละบริษัท

  • Commodities: ETF ทองคำ น้ำมัน หรือสินค้าโภคภัณฑ์เกษตร ก็เป็นที่นิยม

4. พฤติกรรมของนักลงทุนรุ่นใหม่

Gen Z & Millennials นักลงทุนกลุ่มที่เติบโตเร็วที่สุดในตลาดขณะนี้ อายุต่ำกว่า 44 ปี พวกเขาคุ้นเคยกับการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน ต้องการความโปร่งใส ไม่เชื่อในระบบการเงินแบบเก่าที่เต็มไปด้วยค่าธรรมเนียมแอบแฝง

ETF ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ทุกข้อ โปร่งใส เห็นไส้ในพอร์ตได้ทุกวัน ค่าธรรมเนียมต่ำ ซื้อขายง่ายผ่านแอปฯ เทรดหุ้นที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่ 61% ของนักลงทุนที่เพิ่มสัดส่วน ETF ในปีนี้ จะมีคนรุ่นใหม่เป็นกำลังสำคัญ

ETF คืออะไร? ทำไมปี 2025 นักลงทุนทั่วโลกหันมาใช้ แทนการเลือกหุ้นทีละตัว

ส่วนที่ 2: ETF คืออะไร? เหมาะกับใคร?

[Image: อินโฟกราฟิกเปรียบเทียบ ตะกร้า 3 แบบ: 1. หุ้นรายตัว (เลือกผลไม้เองทีละลูก) 2. กองทุนรวม (สั่งคนจัดตะกร้าให้) 3. ETF (ซื้อตะกร้าที่จัดสำเร็จรูปและเห็นของข้างใน)]

แม้จะได้ยินบ่อย แต่หลายคนก็ยังสับสนว่า ETF ต่างจากหุ้นและกองทุนรวมดั้งเดิมอย่างไร

  • การเลือกหุ้นรายตัว (Stock Picking) คือการที่คุณเดินเข้าตลาด ต้องตัดสินใจเลือกเองว่าจะซื้อแอปเปิลเจ้านี้ องุ่นเจ้านั้น ส้มเจ้านู้น คุณต้องมีความเชี่ยวชาญในการดูว่าลูกไหนหวาน ลูกไหนเน่า และถ้าคุณเลือกพลาดแค่องุ่นพวงเดียว (หุ้น 1 ตัวเจ๊ง) มันก็อาจทำให้มื้อนั้นของคุณไม่อร่อย (พอร์ตขาดทุนหนัก) นี่คือวิธีที่ต้องใช้เวลาวิเคราะห์เยอะ และมีความเสี่ยงเฉพาะตัวสูง

  • การซื้อกองทุนรวมแบบเดิม (Mutual Fund) คือการที่คุณเดินไปหาแม่ค้า (ผู้จัดการกองทุน) ยื่นเงินให้ แล้วบอกว่าช่วยจัดตะกร้าผลไม้รวมที่ดีที่สุดให้หน่อย คุณไม่รู้ว่าเขาจะหยิบอะไรใส่บ้างในตอนนั้น และต้องรอจนถึงสิ้นวันถึงจะได้ตะกร้าในราคาที่แม่ค้ากำหนด นี่คือวิธีที่ง่าย แต่คุณต้องจ่ายค่าบริการให้แม่ค้า (ค่าธรรมเนียม) แพง และคุณควบคุมอะไรระหว่างวันไม่ได้เลย

  • การซื้อ ETF (Exchange Traded Fund) คือการที่คุณเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วหยิบ ตะกร้าผลไม้รวมที่จัดแพ็กสำเร็จรูป (เช่น ตะกร้าผลไม้ไทย 50 ชนิด, ตะกร้าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่) ตะกร้านี้ถูกนำไปวางขายบนชั้นวาง (ตลาดหลักทรัพย์) คุณสามารถเห็นป้ายราคาที่ขยับขึ้นลงได้ตลอดเวลา (Real-time) และบนตะกร้าก็มีฉลากติดชัดเจนว่าข้างในมีผลไม้อะไรบ้าง (โปร่งใส) ที่สำคัญ ราคาของตะกร้าสำเร็จรูปนี้มักจะถูกกว่าการจ้างแม่ค้าจัดให้ (ค่าธรรมเนียมต่ำ)

ETF คือ กองทุนรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มันจึงมีคุณสมบัติเป็นลูกผสมที่ดึงจุดเด่นของทั้งสองโลกมารวมกัน

  • จุดเด่นแบบกองทุนรวม มันมีการ กระจายความเสี่ยง (Diversification) เพราะการซื้อ ETF 1 หน่วย คุณอาจได้เป็นเจ้าของหุ้น 50, 100 หรือ 500 บริษัททันที

  • จุดเด่นแบบหุ้น มันมี สภาพคล่อง (Liquidity) คุณสามารถซื้อและขายมันได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด ด้วยราคาที่เปลี่ยนแปลงตามแรงซื้อขายจริง

เปรียบเทียบให้ชัด ETF vs กองทุนรวม vs หุ้นรายตัว

คุณสมบัติ ETF (Exchange Traded Fund) กองทุนรวมดั้งเดิม (Mutual Fund) หุ้นรายตัว (Stock)
สิ่งที่ลงทุน ตะกร้าสินทรัพย์ (หุ้น, พันธบัตร ฯลฯ) ตะกร้าสินทรัพย์ (ส่วนใหญ่บริหารโดย ผจก.) บริษัทเดียว
การกระจายความเสี่ยง สูงมาก (ซื้อ 1 ได้หลายร้อยตัว) สูง (ขึ้นอยู่กับนโยบายกองทุน) ไม่มี (เสี่ยงกระจุกตัว 100%)
การซื้อขาย Real-time (ตลอดเวลาทำการตลาด) วันละ 1 ครั้ง (ณ ราคาปิดสิ้นวัน NAV) Real-time (ตลอดเวลาทำการตลาด)
ค่าธรรมเนียม (ทั่วไป) ต่ำมาก (โดยเฉพาะ Passive ETF) สูง (โดยเฉพาะ Active Fund) ค่าคอมมิชชันซื้อขาย
ความโปร่งใส สูงมาก (เปิดเผยไส้ในทุกวัน) ปานกลาง (เปิดเผยไส้ในรายเดือน/ไตรมาส) สูง (คุณรู้ว่าคุณซื้อบริษัทอะไร)

ETF เหมาะกับใคร?

  • นักลงทุนมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุน แต่ไม่มีเวลา หรือไม่มั่นใจพอที่จะเลือกหุ้นรายตัว ETF ที่อิงดัชนีกว้างๆ อย่าง SET50 (ไทย) หรือ S&P 500 (สหรัฐ) คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด

  • นักลงทุนกองทุนรวมเดิมที่ต้องการความยืดหยุ่นในการซื้อขายระหว่างวัน หรือต้องการลดต้นทุนค่าธรรมเนียมในพอร์ต

  • นักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตที่ต้องการใช้ ETF เป็นแกนหลัก (Core) ของพอร์ตเพื่อการเติบโตระยะยาว และอาจใช้หุ้นรายตัวเป็นส่วนเสริม (Satellite)

  • คนรุ่นใหม่ที่สร้างพอร์ตเกษียณที่มีเงินเริ่มต้นไม่มาก แต่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก และลงทุนในธีมแห่งอนาคต

จะเริ่มลงทุน ETF อย่างไร

จะเริ่มลงทุน ETF อย่างไร

การเริ่มต้นลงทุนใน ETF นั้นง่ายกว่าที่หลายคนคิด โดยเฉพาะถ้าคุณลงทุนในหุ้นเป็นอยู่แล้ว เพราะมันใช้กระบวนการเดียวกันแทบทุกอย่าง

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมตัวและเปิดบัญชี

การซื้อ ETF ในประเทศไทย ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คุณจำเป็นต้องมี บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ หรือบัญชีเทรดหุ้นนั่นเอง หากคุณมีบัญชีนี้อยู่แล้ว คุณสามารถเริ่มซื้อ ETF ได้ทันที

หากคุณต้องการลงทุนใน ETF ต่างประเทศ (เช่น ETF ในตลาดสหรัฐ) คุณต้องเปิดบัญชีที่อนุญาตให้ซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ในไทยก็มีบริการนี้เช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2 ศิลปะการเลือก ETF

  1. ดัชนีอ้างอิง ถามตัวเองก่อนว่าอยากลงทุนในอะไร ตลาดหุ้นไทย (SET50), ตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500), ตลาดจีน, ตราสารหนี้, หรือทองคำ? ETF ที่ดีต้องลอกเลียนดัชนีอ้างอิงได้ใกล้เคียง

  2. รายละเอียดทรัพย์สิน ลองกดเข้าไปดูไส้ในว่า ETF นี้ถือครองอะไรบ้าง 10 อันดับแรกคือหุ้นตัวไหน สัดส่วนสมดุลหรือไม่ ตรงกับสิ่งที่คุณคาดหวังหรือเปล่า

  3. ค่าใช้จ่าย นี่คือหัวใจสำคัญ ยิ่งต่ำยิ่งดี สำหรับ Passive ETF ที่อิงดัชนีกว้างๆ ค่าธรรมเนียมควรจะต่ำมากๆ เพราะต้นทุนที่ต่างกันเพียง 0.5% ต่อปี จะส่งผลมหาศาลต่อพอร์ตของคุณในระยะยาว 20-30 ปี

  4. ขนาดและสภาพคล่อง พยายามเลือก ETF ที่มีขนาดกองทุน (AUM – Assets Under Management) ใหญ่ และมีปริมาณการซื้อขาย (Volume) ต่อวันสูงพอสมควร เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะสามารถซื้อหรือขายได้ง่ายในราคาที่เหมาะสม ไม่เกิดส่วนต่างราคาซื้อขาย (Bid-Ask Spread) ที่กว้างเกินไป

ขั้นตอนที่ 3 แนวทางจัดพอร์ตด้วย ETF

ETF เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่น คุณสามารถใช้มันสร้างพอร์ตได้หลากหลายรูปแบบ

  • โปรไฟล์ 1 มือใหม่ (เน้นเติบโตระยะยาว, ค่าธรรมเนียมต่ำ)

    • กลยุทธ์ สร้างแกนหลักของพอร์ตด้วย ETF ที่กระจายความเสี่ยงกว้างที่สุด

    • ตัวอย่างพอร์ต

80% ETF ตลาดหุ้นโลก (เช่น อิงดัชนี MSCI World หรือ S&P 500)

20% ETF ตราสารหนี้โลก (Global Bond ETF)

วิธีลงทุน ใช้วินัย DCA (Dollar-Cost Averaging) ลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือนโดยไม่ต้องสนใจภาวะตลาด

  • โปรไฟล์ 2 นักเทรดหุ้น (ใช้ ETF เพิ่มความหลากหลาย)

    • กลยุทธ์: ใช้ ETF เป็นแกนหลัก (Core) และใช้หุ้นรายตัวหรือ Thematic ETF เป็นส่วนเสริม (Satellite)

    • ตัวอย่างพอร์ต

      • 50% (Core) ETF อิงดัชนีหลัก (เช่น SET50 + S&P 500)

      • 30% (Satellite) หุ้นรายตัวที่คัดเลือกมาอย่างดี

      • 20% (Satellite) Thematic ETF (เช่น ธีม AI, ธีม Crypto, ธีมอินเดีย) เพื่อเก็งกำไรตามรอบ

  • โปรไฟล์ 3 ผู้ใกล้เกษียณ (เน้นรักษาเงินต้นและกระแสเงินสด)

    • กลยุทธ์ ลดความเสี่ยงจากหุ้น เพิ่มความมั่นคงจากตราสารหนี้และหุ้นปันผล

    • ตัวอย่างพอร์ต

      • 60% – 70% ETF ตราสารหนี้ (Bond ETF) ทั้งระยะสั้นและระยะกลาง

      • 30% – 40% ETF หุ้นปันผลสูง (High Dividend) หรือ ETF หุ้นผันผวนต่ำ (Low Volatility)

สุดท้ายคือการติดตามและปรับพอร์ตอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุน (Rebalancing) ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้

ความเข้าใจผิดยอดฮิตเกี่ยวกับ ETF

แม้จะได้รับความนิยม แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดหลายอย่างเกี่ยวกับ ETF ที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่สับสน

ความเข้าใจผิดที่ 1 ETF เป็นการเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น

ความจริง: ไม่จริงเลย แม้ว่าโครงสร้างของ ETF จะเอื้อต่อการซื้อขายเร็ว (เพราะเทรดได้ Real-time) แต่หัวใจหลักของมัน โดยเฉพาะ ETF อิงดัชนี คือเครื่องมือ การลงทุนระยะยาว ที่ดีที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง เพราะด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำและการกระจายความเสี่ยงที่ยอดเยี่ยม มันจึงเหมาะกับการถือเพื่อสร้างความมั่งคั่ง 10, 20 หรือ 30 ปี

ความเข้าใจผิดที่ 2 ต้องมีเงินเยอะถึงจะลงทุน ETF ได้

ความจริง: ไม่จริง ETF ซื้อขายเหมือนหุ้น ในตลาดไทย บาง ETF มีราคาต่อหน่วยไม่กี่บาท หรือซื้อขั้นต่ำเพียง 100 หน่วย (Board Lot) ส่วนในตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีบริการซื้อเศษหุ้น (Fractional Shares) ทำให้นักลงทุนที่มีเงินเพียง 1 ดอลลาร์ ก็สามารถเป็นเจ้าของ ETF ที่ดีที่สุดในโลกได้

ความเข้าใจผิดที่ 3: ETF เสี่ยงพอๆ กับหุ้น

ความจริง ขึ้นอยู่กับไส้ใน ETF เป็นเพียง เปลือก หรือ ยานพาหนะ ความเสี่ยงของมันขึ้นอยู่กับ สินทรัพย์ที่มันบรรทุกมา

ETF ที่อิง S&P 500 (หุ้น 500 ตัว) ย่อมมีความเสี่ยง น้อยกว่า การซื้อหุ้นเดี่ยว 1 ใน 500 ตัวนั้น

ETF ตราสารหนี้ ย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่า ETF หุ้น

ETF ธีม Crypto ย่อมมีความเสี่ยงสูงกว่า ETF ตลาดหุ้นทั่วไปหน้าที่ของคุณคือการเลือกยานพาหนะที่บรรทุกความเสี่ยงในระดับที่คุณรับไหว

ซื้อหุ้นบริษัท AI ตัวไหนดี ไม่ตกขบวน 5 กฎเหล็ก เช็กก่อนลงทุน

ติดตาม The Thaiger บน Google News:

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button