ปิยบุตร เสนอ 3 ข้อ 7 หลัก แนะทางออกการเมือง เมื่อนายกฯ ไม่ยุบสภา

รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เสนอ 3 หลักการ 7 ข้อเรียกร้อง ต่อสถานการณ์การเมืองไทย หลังนายกฯ ไม่ยุบสภา ชี้ต้องยึดมั่นหลักประชาธิปไตย ค้านรัฐประหารทุกรูปแบบ และเรียกร้องให้นายกฯ แถลงโรดแมปยุบสภาภายในสิ้นปี 2568
(วันที่ 23 มิถุนายน 2568) รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล แสดงความเห็นต่อกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่ยุบสภา และไม่ลาออก ว่า
3 หลักการ 7 ข้อเสนอ เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ยุบสภา ไม่ลาออก
ณ เวลานี้ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นายกรัฐมนตรีตัดสินใจไม่ยุบสภา ไม่ลาออก แต่ปรับคณะรัฐมนตรี ให้นักการเมือง “รักชาติจนน้ำลายไหล” ได้มีโอกาสแย่งและต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี และอาจมีการ “ขโมย” ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้านอื่นๆเข้ามา (ไม่ว่า “ถาวร” แบบทำให้พรรคอื่นต้องแตกแยก หรือ ไม่ว่า “ชั่วคราว” แบบยั่วยวนแลกเปลี่ยนกับคะแนนเป็นรายคนและเป็นครั้งคราว)

อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือการลาออก เป็นอำนาจการตัดสินใจโดยแท้ของนายกรัฐมนตรี ในเมื่อนายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก เราควรทำอย่างไร ภายใต้สถานการณ์การเมืองเช่นนี้? ผมเสนอว่า ต้องยึดหลักการพื้นฐาน เป็นเบื้องต้นไว้ก่อน ดังต่อไปนี้
- รักษากติกาประชาธิปไตย
- ต่อต้านรัฐประหารทุกรูปแบบ ทั้งแบบดั้งเดิมที่ใช้กองทัพยึดอำนาจ ทั้งแบบร่วมสมัยที่ใช้ศาลหรือองค์กรอิสระเข้าจัดการผ่านกลไกทางรัฐธรรมนูญ
- รักษาสันติภาพ ใช้มาตรการเจรจา ไม่ตกอยู่ภายใต้ความคิดแบบคลั่งชาติสุดโต่ง

หากยึดหลักการพื้นฐานดังกล่าวไว้ ก็สรุปเป็นข้อเสนอได้ ดังนี้
1. ยึดหลักการรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งต้องอยู่เหนือกองทัพ การแก้ไขปัญหาชายแดนและปัญหาความมั่นคงของประเทศ ต้องให้รัฐบาลพลเรือนรับผิดชอบ มีอำนาจตัดสินใจ มีอำนาจสั่งการกองทัพ ห้ามมิให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือผู้บัญชาการภาค ริเริ่มตัดสินใจใช้อำนาจใดๆได้เอง ตามลำพัง โดยที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่รับรู้รับทราบ
2. นายกรัฐมนตรีต้องแสดงภาวะผู้นำและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนคนไทยว่า สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชาได้ โดยไม่ต้องโอนอำนาจเบ็ดเสร็จให้กองทัพ พร้อมกับทำให้ประชาชนมั่นใจว่า การดำเนินการต่างๆเป็นไปโดยยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน มิใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนบุคคล และยึดมั่นแนวทางสันติภาพ ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคี
3. ใช้กลไกตามระบบรัฐสภาในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การตรวจสอบผ่านคณะกรรมาธิการ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ โดยนายกรัฐมนตรีต้องให้ความร่วมมือกับกลไกดังกล่าว
4. คัดค้านการใช้กระบวนการนิติสงครามที่มีเป้าประสงค์ให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง หรือสร้างสุญญากาศทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น การตีความขยายความคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์“ ออกไปอย่างกว้างขวาง เพื่อสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง หรือไม่ว่าจะเป็น การใช้ช่องทางตามมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันหลายคน
5. คัดค้านความพยายามสร้างสุญญากาศทางการเมืองของคนบางกลุ่มบางพวก ที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง หรือให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือเพื่อเปิดทางพิสดาร บิดผันรัฐธรรมนูญ นำ “นายกรัฐมนตรี” แบบพิเศษ มาตามมาตรา 5 วรรคสอง
6. คุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพสื่อมวลชน
7. เพื่อฟื้นฟูความชอบธรรมทางการเมือง เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์การเมืองในประเทศ (โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา) และเพื่อป้องกันมิให้ “นักสร้างสุญญากาศ” ทำสำเร็จ นายกรัฐมนตรีควรแถลง “เส้นทางเวลา” ไปสู่การยุบสภาภายในสิ้นปีนี้ เช่น ประกาศว่า ภายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีประกาศใช้ และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องชายแดนกับกัมพูชาได้เข้าที่เข้าทางระดับหนึ่งแล้ว จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ภายในสิ้นปี 2568
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ปิยบุตร จี้นายกฯ แสดงสปิริตผู้นำ ยุบสภา ปมคลิปเสียงคุยกับฮุนเซน
- เลขาฯ เพื่อไทย ยัน นายกฯ แพทองธาร ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา เดินหน้าแก้วิกฤติจนครบวาระ
- ปิยบุตร ฉะ ‘รัฐสมบัติ’ ไม่แยกเรื่องครอบครัว-ส่วนรวม วิพากษ์ ‘ปชต. 2 ตระกูล’ หลังโหวตนายกฯ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: