เรื่องเล่า ‘กัมพูชา’ เคยรุ่งเรือง ล่มสลายเพราะเขมรแดง พึ่งไทยฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม

ประวัติความเป็นมา ‘ประเทศกัมพูชา’ เคยรุ่งเรือง อาณาจักรขอมโบราณ ล่มสลายเพราะเขมรแดง พึ่งไทยฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม สู่ปัญหาข้อพิพาทชายแดน
ณ ใจกลางดินแดนสุวรรณภูมิโบราณ กัมพูชา ประวัติศาสตร์ของชาติเริ่มต้นขึ้นเนิ่นนานก่อนการถือกำเนิดของอาณาจักรใดๆ หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่ามนุษย์ได้ตั้งรกรากอยู่บนผืนแผ่นดินนี้มาแล้วกว่า 7,000 ปี เป็นรากฐานอันลึกซึ้งของอารยธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต่ที่จะปรากฏขึ้นในกาลต่อมา
ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึงศตวรรษที่ 6 ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างได้เป็นที่ตั้งของอาณาจักรยุคแรกเริ่มนามว่า ฟูนัน และ เจนละ อาณาจักรทั้งสองวางรากฐานทางสังคม การปกครอง และวัฒนธรรม ต้นธารสำคัญให้กับมหาอาณาจักรที่จะถือกำเนิดในภายภาคหน้า
กาลเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ จนกระทั่งปีพุทธศักราช 1345 (ค.ศ. 802) ประวัติศาสตร์ได้เปิดฉากยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยุคหนึ่งของภูมิภาค อาณาจักรขอมโบราณ หรือ จักรวรรดิเมืองพระนคร (Angkor Empire) ได้รับการสถาปนาขึ้น เติบโตและแผ่ขยายอำนาจอย่างกว้างขวาง กลายเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 19
ศูนย์กลางการปกครองของจักรวรรดิคือมหานคร “ยะโศธรปุระ” หรือที่รู้จักกันในนาม นครธม นครแห่งนี้เคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในยุคก่อนอุตสาหกรรม มีประชากรอาศัยอยู่ราวหนึ่งล้านคน

ความรุ่งเรืองของจักรวรรดิขอมปรากฏชัดผ่านสถาปัตยกรรมหินอันน่าอัศจรรย์ เทวสถาน ปราสาทขนาดมหึมาถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่เทพเจ้าในศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งปวง “นครวัด” (อังกอร์วัด) คือผลงานชิ้นเอกที่โดดเด่นที่สุด ด้วยสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ งานแกะสลักที่วิจิตรบรรจง นครวัดไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน แต่ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่แสดงถึงความรู้ขั้นสูงทางดาราศาสตร์และวิศวกรรมของชาวขอมโบราณ ปรากฏเป็นสัญลักษณ์บนธงชาติกัมพูชาทุกยุคสมัยนับตั้งแต่ได้รับเอกราช
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 จักรวรรดิอันเกรียงไกรเริ่มอ่อนแอลง เมืองขึ้นต่างๆ เช่น อาณาจักรอยุธยาของชาวสยาม เริ่มแข็งข้อแยกตัวเป็นอิสระ ประกอบกับการรุกรานจากภายนอกทำให้อำนาจของเมืองพระนครเสื่อมถอยลงเป็นลำดับ
ราวปีพุทธศักราช 1993 (ค.ศ. 1450) ศูนย์กลางอำนาจของชาวเขมรได้ย้ายออกจากเมืองพระนคร ลงมายังดินแดนตอนล่างใกล้กับกรุงพนมเปญในปัจจุบัน จักรวรรดิอันกว้างใหญ่กลายสภาพเป็นราชอาณาจักรขนาดเล็กที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก กัมพูชาในยุคหลังนครวัดต้องดำเนินนโยบายทางการทูตอย่างระมัดระวัง เพื่อรักษาสมดุลอำนาจระหว่างสองเพื่อนบ้านมหาอำนาจ คือ สยามทางทิศตะวันตก และเวียดนามทางทิศตะวันออก

จนถึงช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 อิทธิพลของสยามและเวียดนามได้แผ่ขยายเข้าครอบงำกัมพูชาอย่างหนักหน่วงจนเกือบจะสูญเสียเอกราชไปโดยสมบูรณ์
ในภาวะคับขันนั้น พระบาทสมเด็จพระนโรดม กษัตริย์แห่งกัมพูชา ทรงตัดสินพระทัยครั้งสำคัญ พระองค์ได้ยื่นเรื่องขอเข้าเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสในวันที่ 11 สิงหาคม ปีพุทธศักราช 2406 (ค.ศ. 1863) เพื่อปกป้องราชบัลลังก์และราชอาณาจักรให้รอดพ้นจากการถูกผนวกดินแดนโดยเพื่อนบ้าน
ฝรั่งเศสตอบรับคำขอ ผนวกกัมพูชาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ สหภาพอินโดจีนฝรั่งเศส ฝรั่งเศสปกครองไปจนถึงกลางศตวรรษที่ 20 นโยบายที่ใช้ในกัมพูชานั้นไม่เข้มงวดรุนแรงเท่ากับที่ปฏิบัติต่อชาวเวียดนาม ชนชั้นนำของกัมพูชายังคงได้รับการดูแลอย่างดี พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานซึ่งช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศในยุคนั้น
คุณูปการที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของฝรั่งเศส คือการฟื้นฟูมรดกทางประวัติศาสตร์ของชาติเขมร นักโบราณคดีและนักวิชาการชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาสำรวจ ขุดค้น และบูรณะปราสาทหินต่างๆ ที่ถูกทิ้งร้างในป่ารกชัฏมานานหลายศตวรรษ รวมถึงการถอดรหัสศิลาจารึกโบราณ ค้นพบและบูรณะนครวัด นครธม และปราสาทอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ชาวกัมพูชาได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่และอดีตอันรุ่งโรจน์ของบรรพบุรุษตนเองอีกครั้งหนึ่ง
ประกาศเอกราชจากฝรั่งเศส
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง กระแสการเรียกร้องเอกราชได้แผ่ขยายไปทั่วดินแดนอาณานิคม รวมกัมพูชา
ผู้นำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้คือองค์ประมุขของชาติ สมเด็จพระนโรดมสีหนุ พระองค์ทรงเล็งเห็นว่ากาลเวลาแห่งการเป็นรัฐในอารักขาได้สิ้นสุดลงแล้ว ในช่วงปี พ.ศ. 2495-2496 พระองค์จึงทรงประกาศดำเนิน “ยุทธศาสตร์ราชการเพื่อเอกราช” รวบรวมการสนับสนุนจากประชาชนเพื่อเรียกร้องเอกราชโดยสันติวิธี พระองค์ทรงใช้ความพยายามทางการทูตอย่างหนักแน่นในการเจรจากดดันฝรั่งเศส

ในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล บวกกับกระแสโลกที่เปลี่ยนไป ฝรั่งเศสยอมจำนนต่อแรงกดดันทางการทูต กัมพูชาได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ถือเป็นการสิ้นสุดสถานะรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสที่ดำเนินมาเกือบ 90 ปี ชัยชนะครั้งนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการในเวทีโลกผ่าน ข้อตกลงสันติภาพเจนีวา ปี พ.ศ. 2497 (Geneva Accords 1954) รับรองเอกราชและอธิปไตยของกัมพูชาอย่างสมบูรณ์
กัมพูชาเริ่มต้นยุคใหม่แห่งการสร้างชาติในฐานะรัฐเอกราช ภายใต้ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงสละราชสมบัติให้แก่พระราชบิดา คือ สมเด็จพระนโรดมสุรามฤต เพื่อที่พระองค์จะสามารถลงมามีบทบาททางการเมืองได้อย่างเต็มที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีและผู้นำประเทศ
ช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1960 กัมพูชาภายใต้การนำของเจ้าสีหนุเข้าสู่ยุคแห่งเสถียรภาพ ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด มีการสร้างสาธารณูปโภคใหม่ๆ ศิลปะและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เฟื่องฟู ประชาชนรุ่นก่อนบางส่วนยังคงรำลึกถึงช่วงเวลานี้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของกัมพูชายุคใหม่ ในด้านการต่างประเทศ กัมพูชายึดมั่นในนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจในยุคสงครามเย็น
น่าเศร้าที่สันติภาพและความรุ่งเรืองนั้นดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เปลวไฟแห่งสงครามเวียดนามที่ลุกลามอยู่ข้างบ้าน ได้เริ่มส่งควันแห่งความขัดแย้งเข้ามาปกคลุมกัมพูชา เมฆหมอกแห่งวิกฤตการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และกำลังจะนำพาชาติเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความผันผวนครั้งใหญ่ต่อไป
ขอม กับ กัมพูชา เป็นชาติพันธุ์เดียวกันไหม
ในหน้าประวัติศาสตร์และเอกสารของไทย คำว่า “ขอม” ถูกใช้เพื่ออ้างถึงกลุ่มชนผู้สร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ในดินแดนกัมพูชาโบราณ คำถามสำคัญคือ แล้วชาวขอมมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนในประเทศกัมพูชาปัจจุบันอย่างไร คำตอบนั้นตรงไปตรงมาและชัดเจน ทั้งสองกลุ่มคือชนชาติเดียวกัน
ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่ในทุกวันนี้คือผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากชาวขอมโบราณแห่งจักรวรรดิเมืองพระนคร ข้อมูลประชากรยืนยันประมาณร้อยละ 97.6 ของพลเมืองกัมพูชาเป็น ชนเผ่าเขมร (Khmer) ซึ่งก็คือชาติพันธุ์ขอมนั่นเอง ขณะที่ประชากรส่วนน้อยประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ชาวจาม, ชาวเวียดนาม, ชาวจีน และชาวไทยบางส่วน
มรดกที่สำคัญที่สุดคือภาษาเขมร ภาษาราชการที่ประชากรมากกว่าร้อยละ 96 ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน ก็คือภาษาที่สืบทอดและมีวิวัฒนาการมาจากภาษาของชาวขอมโบราณผู้สลักเสลาเรื่องราวไว้บนกำแพงปราสาท

ความภาคภูมิใจในมรดกแห่งขอมปรากฏอยู่ในสัญลักษณ์ของชาติอย่างเด่นชัด ภาพปราสาท “นครวัด” อันเป็นผลงานสร้างสรรค์ชิ้นเอกของยุคขอมโบราณ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์บนธงชาติกัมพูชาเสมอมา นอกจากนี้ เทศกาลและงานเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรมหลายอย่างก็มีรากฐานและสืบทอดขนบธรรมเนียมมาจากยุคสมัยของอาณาจักรขอม
มุมมองจากสยาม คำว่า “ขอม” ยังมีความหมายโยงไปถึงภาษาและตัวอักษรของชาวเขมรโบราณด้วย “อักษรขอม” เคยเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ที่ปัญญาชนชาวสยามในอดีตต้องศึกษาเล่าเรียน เพื่อใช้ในการบันทึกคัมภีร์ทางศาสนาและตำราวิชาการชั้นสูง ความสำคัญนี้ทำให้เกิดสำนวนไทยที่ว่า “อ่าน เขียน เรียนขอม” ซึ่งหมายถึงการศึกษาวิชาความรู้ขั้นสูงในสมัยนั้น
เขมรแดง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคทมิฬ ปีศูนย์ โศกนาฏกรรมบนทุ่งสังหาร
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเมืองภายในยังไม่นิ่ง ขณะที่แนวคิดสังคมนิยมเริ่มแผ่นขยายไปทั่วโลก เป็นเชื้อไฟให้ขบวนการคอมมิวนิสต์หัวรุนแรงที่เรียกว่า “เขมรแดง” เติบโตขึ้น เข้าทำสงครามกลางเมืองอย่างน่าสยดสยอง
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) กรุงพนมเปญ เมืองหลวงที่เคยงดงามได้ตกอยู่ในกำมือของกองกำลังเขมรแดงโดยสมบูรณ์ เปิดฉากจุดเริ่มต้นของยุคสมัยที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ เขมรแดงภายใต้การนำของ พล พต ได้สถาปนารัฐใหม่ในชื่อ “ประชาธิปไตยกัมพูชา” ประกาศนโยบายปฏิวัติสังคมครั้งใหญ่ที่โลกต้องจดจำ นั่นคือ “ปีศูนย์”

อุดมการณ์ของเขมรแดงคือลัทธิคอมมิวนิสต์แบบสุดโต่งได้รับอิทธิพลจากลัทธิเหมา มีเป้าหมายที่จะสร้างสังคมกสิกรรมอันบริสุทธิ์ ปราศจากชนชั้นและอิทธิพลของชาวตะวันตกโดยสิ้นเชิง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แนวคิดสุดโต่งนี้ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นก่อนยึดอำนาจ เป็นเพราะกัมพูชาตกเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิดอย่างหนักจากสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเวียดนาม สุมไฟแค้นสร้างความเกลียดชังต่ออิทธิพลภายนอก
ภายใต้นโยบายปีศูนย์ ระเบียบสังคมเก่าถูกล้มล้างทั้งหมด ประชาชนนับล้านในเมืองถูกบังคับให้อพยพไปยังพื้นที่ชนบท กลายเป็นแรงงานทาสในนารวม โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และศาสนสถานถูกปิดตาย ศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมกลายเป็นสิ่งต้องห้าม รัฐปกครองด้วยความหวาดระแวง
เขมรแดงกวาดล้างผู้คนที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูของการปฏิวัติอย่างโหดเหี้ยม ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชน อดีตข้าราชการ หรือแม้แต่ประชาชนผู้บริสุทธิ์
เวลาไม่ถึง 4 ปีภายใต้เงาทฒิของเขมรแดง (พ.ศ. 2518-2522) โศกนาฏกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้น ประชาชนชาวกัมพูชาต้องเสียชีวิตไปประมาณ 1.7 ถึง 2 ล้านคน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของประชากรทั้งหมดในขณะนั้น
คนกัมพูชาถูกฆ่าจากการสังหารหมู่ ถูกบังคับใช้แรงงานจนสิ้นใจ ความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เคยได้รับการรักษา สังคมและเศรษฐกิจของกัมพูชาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง โครงสร้างพื้นฐานของประเทศถูกทำลาย ประชาชนจำนวนมากต้องหลบหนีตายไปยังค่ายผู้อพยพตามแนวชายแดนไทย
ระบอบอันโหดร้ายของเขมรแดงสิ้นสุดลงในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เมื่อกองทัพเวียดนามบุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้น แต่สันติภาพยังคงอยู่อีกไกล กัมพูชาต้องเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อต่อไปอีกหลายปี ระหว่างรัฐบาลที่เวียดนามหนุนหลังกับกลุ่มเขมรแดงที่ถอยร่นไปตั้งมั่นตามแนวชายแดนและยังคงต่อสู้ในรูปแบบสงครามกองโจรไปจนถึงทศวรรษ 1990
ความไร้เสถียรภาพอันยาวนานทำให้กัมพูชาต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อฟื้นฟูประเทศ นำไปสู่การจัด การเลือกตั้งภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) เพื่อวางรากฐานสันติภาพให้เกิดขึ้นอย่างถาวร
ผลกระทบระยะยาวที่ยังคงอยู่คือบาดแผลทางใจของชาวกัมพูชาที่สูญเสียครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รัก ความทรงจำอันเลวร้ายยังคงตามหลอกหลอนสังคมมาจนถึงปัจจุบัน
รัฐบาลกัมพูชาได้ร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติจัดตั้ง ศาลพิเศษพิจารณาคดีเขมรแดง (ECCC) ขึ้น แม้กระบวนการจะกินเวลานานถึง 16 ปี ใช้งบประมาณมหาศาล แต่ศาลก็สามารถตัดสินลงโทษผู้นำระดับสูงของเขมรแดงได้ 3 คน ในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งคำพิพากษาสุดท้ายเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2565
แคง เก็ก เอียว (ดูช) ผบ.เรือนจำ S-21 โดนข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการทรมาน-สังหารนักโทษ ประมาณ 15,000 คน จำคุกตลอดชีวิต เสียชีวิตปี 2563
นวน เจีย “พี่ชายหมายเลข 2” อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ + ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจามและเวียดนาม ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในปี 2561 ถึงแก่กรรมในเรือนจำปี 2562
เขียว สัมพัน ประมุขแห่งรัฐ โดนโทษ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ + ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเวียดนาม และร่วมก่อคดีอื่น ให้จำคุกตลอดชีวิตในปี 2561 ปัจจุบันถูกย้ายไปเรือนจำจังหวัดกัมปงสะปือ อายุ 93 ปี ยังไม่เสียชีวิต
กัมพูชาวันนี้ วิถีแห่งศรัทธา ชีวิตริมสายน้ำ
หลังจากเดินทางผ่านหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่ความรุ่งโรจน์ของนครวัด ผ่านยุคสมัยแห่งความสูญเสีย ฟื้นฟูชาติขึ้นใหม่ ปัจจุบันประเทศกัมพูชากำลังก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยพลังของผู้คนกว่า 17.5 ล้านคน
ประเทศกัมพูชาในปัจจุบันมีภาพชีวิตสองด้านที่แตกต่างกัน ประชากรส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 60 ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ใช้ชีวิตผูกพันกับผืนดินกับสายน้ำ ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ทั้งการทำนาข้าว ทำประมงน้ำจืดในบริเวณทะเลสาบเขมร โตนเลสาบ และลุ่มแม่น้ำโขงอันอุดมสมบูรณ์
วิถีชีวิตในชนบทดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ผู้คนอาศัยในชุมชนแบบเครือญาติ มีวัดเป็นศูนย์กลางของจิตใจ ใช้ชีวิตไปตามจังหวะของฤดูกาลเพาะปลูก
อีกด้าน ชีวิตในเมืองใหญ่อย่างกรุงพนมเปญ มีความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น คนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน
แต่ไม่ว่าวิถีชีวิตจะแตกต่างกันเพียงใด สิ่งที่ยังคงยึดโยงชาวกัมพูชาไว้ด้วยกันคือค่านิยมหลัก นั่นคือ ความสำคัญของครอบครัวแบบเครือญาติและการเคารพผู้อาวุโส การทักทายแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “สัมเปียะห์” คล้ายกับการไหว้ของไทย ยังคงปฏิบัติกันทั่วไป โดยระดับของการประนมมือจะแสดงถึงการให้เกียรติตามอาวุโสและสถานะของบุคคล

ศาสนาประจำชาติของกัมพูชาคือ พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ประชากรกว่าร้อยละ 95 นับถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด กำหนดชีวิตของคนเขมรตั้งแต่ค่านิยม ความเชื่อ ไปจนถึงประเพณีสำคัญ วัด ยังคงเป็นศูนย์กลางของชุมชนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องปกติที่ชายชาวกัมพูชาส่วนใหญ่จะบวชเรียนเป็นพระภิกษุอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต เพื่อศึกษาพระธรรมและทดแทนคุณบิดามารดา ขณะที่ชนกลุ่มน้อย เช่น ชาวจามที่นับถือศาสนาอิสลาม หรือผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็สามารถอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างสงบสุข
วัฒนธรรมกัมพูชามีความคล้ายคลึงกับไทยในหลายมิติ ด้วยเหตุที่มีรากฐานร่วมกันจากอารยธรรมอินเดียและพุทธศาสนาเหมือนกัน เทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีคือ “โจลชนัมทเมย” หรือเทศกาลปีใหม่กัมพูชา ตรงกับช่วงกลางเดือนเมษายนของทุกปี เป็นวันหยุดยาวที่ทุกคนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อทำบุญที่วัดและเฉลิมฉลองกับครอบครัว
นอกจากนี้ยังมีเทศกาลสำคัญอื่นๆ เช่น “เทศกาลพจุมเบ็น” หรืองานสารทเขมรในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกหลานจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ

“เทศกาลน้ำ” หรือ บอน อม ตูก (Bon Om Touk) ในเดือนพฤศจิกายน มีการแข่งเรืออย่างยิ่งใหญ่ในกรุงพนมเปญ เพื่อเฉลิมฉลองปรากฏการณ์ธรรมชาติที่แม่น้ำโตนเลสาบเปลี่ยนทิศทางการไหล ประเพณีเหล่านี้ผูกพันอยู่กับวิถีเกษตรกรรมและความผูกพันกับสายน้ำของผู้คนอย่างแนบแน่น
จากมหาปราสาทหินในอดีต สู่โศกนาฏกรรมที่มิอาจลืมเลือน และกลับคืนสู่รอยยิ้มและวิถีชีวิตอันเรียบง่ายในปัจจุบัน เรื่องราวของกัมพูชาคือตำนานแห่งความอดทนและการยืนหยัด จิตวิญญาณของชาติยังคงดำรงอยู่ผ่านศรัทธาในพระศาสนา ความรักในครอบครัว และความผูกพันกับแผ่นดินและสายน้ำที่หล่อเลี้ยงพวกเขามานับพันปี
ชาวกัมพูชารับประทานข้าวเจ้าเป็นอาหารในทุกมื้อ เช่นเดียวกับชาวเอเชียอาคเนย์ แหล่งโปรตีนที่สำคัญที่สุดมาจาก ปลาน้ำจืด และสัตว์น้ำนานาชนิด ซึ่งหาได้จากทะเลสาบเขมร แม่น้ำโขงอันอุดมสมบูรณ์
เอกลักษณ์สำคัญของอาหารกัมพูชาคือเครื่องปรุงที่เรียกว่า “ปราฮ็อก” ปลาตัวเล็กที่นำไปหมักกับเกลือจนเกิดรสเค็มจัด ส่งกลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะ ปราฮ็อกทำหน้าที่เป็นเครื่องปรุงหลักที่ให้รสเค็มและอูมามิในอาหารหลายชนิด ขณะที่ “กรึง” (Kroeung) เครื่องแกงหรือพริกแกงที่ได้จากการตำสมุนไพร เครื่องเทศสดเข้าด้วยกัน เป็นหัวใจของแกง อาหารผัดต่างๆ
รสชาติโดยรวมของอาหารกัมพูชามีความสมดุลระหว่างรสเปรี้ยว หวาน เค็ม และขม คล้ายกับอาหารไทยแต่โดยทั่วไปจะมีความเผ็ดร้อนน้อยกว่า
เมนูที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ได้แก่ อาม็อก ปลาน้ำจืดนำไปนึ่งกับเครื่องแกงและกะทิในกระทงใบตอง ให้กลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม บายซาจรก ข้าวหน้าหมูย่าง เป็นอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื้อย่างเสียบไม้ ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากเวียดนาม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มถั่วรสชาติหวานมัน
ระบบการศึกษาของกัมพูชาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงคราม ปัจจุบันรัฐบาลได้กำหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับในระดับประถมศึกษา กำลังขยายโอกาสไปสู่ระดับมัธยมศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ความพยายามนี้ส่งผลให้ อัตราการรู้หนังสือ ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 84 (ข้อมูลปี พ.ศ. 2565 แบ่งเป็นชายร้อยละ 88 และหญิงร้อยละ 80) ตัวเลขนี้คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับยุคหลังเขมรแดงที่ระบบการศึกษาถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนหลายแห่ง โดยเฉพาะในชนบท ยังขาดแคลนอุปกรณ์การสอนและบุคลากรที่มีคุณภาพ รัฐบาลจึงร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศในการจัดทำโครงการต่างๆ เช่น โครงการอาหารกลางวัน มอบทุนการศึกษา เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าเรียนของเด็ก ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ในด้านภาษา ภาษาเขมร เป็นภาษาหลักที่ใช้ในการเรียนการสอน ขณะเดียวกัน ภาษาอังกฤษ ได้รับการส่งเสริมอย่างกว้างขวางในฐานะภาษาที่ 2 เนื่องจากมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว ส่วน ภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเคยเป็นภาษาหลักในยุคอาณานิคม ปัจจุบันคนพูดลดน้อยลง แต่ยังคงมีการเรียนการสอนอยู่บ้างในบางโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเท่านั้น
อิทธิพลสยามในราชสำนักกัมพูชา ยุครัตนโกสินทร์
ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับสยามซับซ้อนยาวนาน ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 19) เป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยามอย่างมาก
กัมพูชามีสถานะเป็นประเทศราชของสยาม อำนาจของราชสำนักกรุงเทพฯ มีมากถึงขั้นที่สามารถเข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์กัมพูชาได้ ซึ่งเป็นภาพที่แสดงถึงอิทธิพลทางการเมืองอย่างชัดเจน
ธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งในยุคนั้น พระมหากษัตริย์หรือองค์รัชทายาทของกัมพูชาหลายพระองค์จะถูกเชิญให้เสด็จมาพำนักอาศัยและเจริญสัมพันธไมตรี ณ ราชสำนักกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีธรรมเนียมให้ราชวงศ์เขมรเข้ามาอยู่ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ในไทยเป็นเวลายาวนานถึง 73 ปี บางพระองค์ทรงใช้ชีวิต ศึกษาศิลปวิทยาการในไทย หรือแม้กระทั่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
การที่เจ้านายชั้นสูงของกัมพูชาทรงใช้ชีวิตอยู่ในราชสำนักสยามเป็นเวลานาน ทำให้พระองค์ได้รับเอาวัฒนธรรม ภาษา ขนบธรรมเนียม และรสนิยมแบบไทยเข้าไปไม่น้อย เมื่อถึงเวลาที่พระองค์เสด็จกลับไปครองราชย์ ณ กัมพูชา ก็ได้ทรงนำเอาวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติแบบไทยที่ทรงคุ้นเคยกลับไปปรับใช้ในราชสำนักของพระองค์ด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการแลกเปลี่ยนทางภาษา ภาษาราชาศัพท์ของเขมร มีคำจำนวนมากที่ยืมมาจากภาษาไทย ในทางกลับกัน ราชาศัพท์ของไทย ก็มีการยืมคำมาจากภาษาเขมรมาใช้เช่นเดียวกัน สิ่งนี้คือหลักฐานของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ซึ่งเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของราชสำนักทั้งสองในอดีต
อิทธิพลของสยามไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเมืองหรือภาษา แต่ยังปรากฏชัดเจนในงานศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของกัมพูชาด้วย ผลงานที่สำคัญคือ พระราชวังหลวงกรุงพนมเปญ ในปี พ.ศ. 2409 (ค.ศ. 1866) หลังจากที่ฝ่ายสยามได้ช่วยสนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระนโรดมขึ้นครองราชย์ ทางราชสำนักสยามได้ส่งช่างฝีมือไปช่วยในการก่อสร้าง ทำให้พระราชวังหลวงแห่งนี้ได้รับการออกแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมเขมรดั้งเดิมกับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบสยามอย่างเด่นชัด เช่น แผนผังของพระราชวังที่มีการจัดวางวัดพระแก้วไว้เป็นวัดประจำพระราชวัง คล้ายคลึงกับพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ อาคารสำคัญบางหลังที่สร้างขึ้นในยุคแรกก็มีลักษณะทางศิลปกรรมแบบไทยปรากฏอยู่อย่างชัดเจน
ในยุคสมัยต่อมา ภายหลังจากที่วัฒนธรรมราชสำนักและศิลปกรรมดั้งเดิมของกัมพูชาถูกทำลายลงอย่างหนักในสมัยเขมรแดง ประเทศไทยก็ได้ยื่นมือช่วยเหลืออีกครั้ง ผู้เชี่ยวชาญไทยได้ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือบูรณะฟื้นฟูโบราณสถานและศิลปะแขนงต่างๆ ผ่านกรอบความร่วมมือทางวัฒนธรรมและโครงการระดับภูมิภาค เช่น การอนุรักษ์นครวัดภายใต้ความร่วมมืออาเซียน-ยูเนสโก ซึ่งประเทศไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
นาฏศิลป์เขมร เอาแบบอย่างนาฏศิลป์ไทย
นาฏศิลป์เขมร เช่น ระบำอัปสรา โขนเขมร มีรากฐานร่วมกับนาฏศิลป์ไทยมาตั้งแต่อาณาจักรขอม เช่นเดียวกันในหลวงเขมรรุ่งเรืองล่มสลาย สมเด็จพระเรียมนโรดม บุปผาเทวี พระราชธิดาในสมเด็จพระนโรดมสีหนุ และอดีตนักแสดงระบำหลวงผู้มีชื่อเสียงของกัมพูชา ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ศิลปะการแสดงของกัมพูชาเป็น “การผสมผสานอย่างแท้จริง” กล่าวคือ ฝั่งกัมพูชาได้รับความรู้จากครูผู้สอนชาวไทย แล้วนำมาปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมของตนเอง
พระองค์ยังเล่าว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ รัชกาลของกัมพูชาที่ร่วมสมัยกับรัชกาลที่ 5-7 ของไทย เครื่องแต่งกายของนางรำเขมรเคยใช้แบบไทย ก่อนที่คณะละครหลวงกัมพูชาจะค่อย ๆ ดัดแปลงให้เป็นแบบของตนเอง ในเวลาต่อมา
ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าหลังยุคอาณานิคม ช่วงที่กัมพูชาฟื้นฟูศิลปะประจำชาติใหม่หลังความสูญเสียยุคเขมรแดง ไทยเข้าไปช่วยฝึกสอนนาฏศิลป์และดนตรีบางแขนงให้กัมพูชา วัฒนธรรมการแต่งกาย ท่ารำ ตลอดจนละครรำบางประเภทของกัมพูชาก็ได้รับแรงบันดาลใจหรือถ่ายทอดแบบแผนจากไทยไปประยุกต์จนกลายเป็นของตนเองในที่สุด
ภาษาเขมร ภาษาไทยต่างก็มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีสันสกฤตเหมือนกัน
ตลอดเวลาหลายร้อยปีที่ผูกพันกันก็มีการแลกเปลี่ยนคำยืมจำนวนมาก เช่น ภาษาไทยรับคำเขมรมาใช้ในราชาศัพท์ ศัพท์ทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม (เช่นคำว่า ปราสาท, กุฎิ, บัลลังก์ เป็นต้น) ขณะเดียวกันภาษาเขมรปัจจุบันก็มีคำที่ยืมจากภาษาไทยไปใช้ไม่น้อยในภาษาพูด อาทิ คำเรียกขนมบางชนิดหรือสิ่งของเครื่องใช้ เป็นต้น
ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ชนชั้นสูงไทยนิยมเรียน อักษรขอม เพื่ออ่านจารึกและวรรณคดีโบราณ ส่งผลให้วรรณกรรมบางส่วนของไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวพงศาวดารหรือศาสนา ต้องอาศัยตำราและเอกสารภาษาเขมรในการถ่ายทอดความรู้ เมื่อไทยได้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ก็ถ่ายทอดกลับมายังกัมพูชาในภายหลัง เป็นวัฏจักรของการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและวัฒนธรรม
กัมพูชายุคปัจจุบัน ใต้ร่มอิทธิพลไทย
วัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ก็เป็นที่รู้จักในกัมพูชาผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ เพลงป๊อป สินค้าอุปโภคบริโภค ชาวกัมพูชาตามแนวชายแดนและในเมืองใหญ่จำนวนไม่น้อยดูช่องโทรทัศน์ไทย ฟังเพลงไทย กินอาหารไทย ชอบแฟชั่นไทย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น
การติดต่อค้าขายระหว่างไทย-กัมพูชาที่เพิ่มขึ้นหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2015 ก็ทำให้ภาษาไทย วัฒนธรรมไทยเข้าสู่สังคมกัมพูชาผ่านนักท่องเที่ยวไทย แรงงานการค้าข้ามพรมแดน ส่วนหนึ่งของชาวกัมพูชารุ่นใหม่จึงนิยมเรียนภาษาไทยเพิ่มเติมนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการสื่อสารทำธุรกิจและประกอบอาชีพบริการที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวหรือนายจ้างชาวไทย
แต่แม้วัฒนธรรมสมัยนิยมของไทยจะมีอิทธิพลบางด้าน แต่รัฐบาลกัมพูชาก็พยายามส่งเสริมให้ประชาชนอนุรักษ์วัฒนธรรมเขมรดั้งเดิมควบคู่ไปด้วย เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของตนและป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมกับประเทศเพื่อนบ้าน

ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ปมปัญหาจากแผนที่และสนธิสัญญา
สนธิสัญญาและการยึดสันปันน้ำเป็นหลัก จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งเกิดจากการที่ฝรั่งเศส ในฐานะเจ้าอาณานิคมผู้ปกครองกัมพูชา กับราชอาณาจักรสยาม ได้ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญากำหนดเขตแดนสองฉบับในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) และ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) หลักการสำคัญที่ตกลงกันในสนธิสัญญาคือการใช้ สันปันน้ำ บริเวณเทือกเขาดงรักเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ
แต่ในกระบวนการจัดทำรายละเอียด คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้จัดทำ แผนที่ภาคผนวก ขึ้นฉบับ 1 ซึ่งลากเส้นเขตแดนให้พื้นที่ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตของกัมพูชา ทั้งที่ตามสภาพภูมิศาสตร์แล้ว ตัวปราสาทตั้งอยู่บนยอดเขาซึ่งอยู่ฝั่งประเทศไทยของแนวสันปันน้ำ
ในช่วงเวลานั้น ฝ่ายสยามมิได้ทักท้วงความคลาดเคลื่อนในแผนที่ การนิ่งเฉยยาวนานกว่า 50 ปี ได้กลายเป็นจุดเสียเปรียบ ฝรั่งเศสได้ยึดถือการไม่คัดค้านของสยามเป็นหลักฐานว่าสยามยอมรับแผนที่นั้นโดยปริยาย และใช้เป็นเอกสารอ้างอิงว่าพื้นที่ปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาภายใต้อาณัติของตน ปมปัญหานี้ได้ถูกส่งต่อมายังรัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยในยุคหลัง และกลายเป็นรากฐานของข้อพิพาทที่ยืดเยื้อในเวลาต่อมาจนต้องขึ้นศาลโลก จนไทยแพ้ในที่สุด
อ่านบทความฉบับเต็ม : ย้อนคดี ‘ปราสาทพระวิหาร’ คำตัดสินศาลโลก แผนที่ในกระดาษ ทำไทยแพ้กัมพูชา
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีคำพิพากษา 9 ต่อ 3 เสียง ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของประเทศกัมพูชา อิงตามแผนที่ปี 1907 ที่ทั้งสองฝ่ายเคยรับรู้ร่วมกัน
ไทยจำต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกจากตัวปราสาท ส่งมอบพื้นที่ให้กัมพูชา แม้ไทยจะปฏิบัติตามคำสั่งศาล แต่ได้ออกแถลงการณ์สงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับอธิปไตยของกัมพูชาเหนือดินแดนบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาท เนื่องจากศาลได้วินิจฉัยเฉพาะตัวปราสาท แต่มิได้ชี้ขาดเรื่องเขตแดนโดยรอบ ซึ่งไทยเห็นว่ายังไม่เคยมีการปักปันอย่างเป็นทางการ
คคีนี้ทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อธิปไตยกัมพูชาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่พื้นที่ภูมิประเทศเป็นหน้าผาสูงชันทางขึ้นปราสาทฝั่งไทยและพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรใกล้เคียงยังคงเป็น เขตพิพาท ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์
ผ่านไปสี่สิบกว่าปี ความขัดรอบใหม่ปะทุ หลังกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 2008 ก่อให้เกิดกระแสคัดค้านในไทยจากกลุ่มชาตินิยมที่เกรงว่าการขึ้นทะเบียนจะกระทบอธิปไตยไทยในพื้นที่พิพาท
ทั้งสองประเทศส่งกำลังทหารประชิดชายแดนและเกิดการปะทะกันประปรายหลายครั้งระหว่างปี 2008-2011 สถานการณ์รุนแรงถึงขีดสุดช่วงต้นปี 2011 เมื่อเกิดการสู้รบรอบปราสาทพระวิหารและตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ-พระวิหาร (กัมพูชา) มีทหาร พลเรือนบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย ทำให้ประชาคมอาเซียนและสหประชาชาติต้องเรียกร้องให้ยุติการใช้กำลัง พร้อมส่งผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศมาดูแลพื้นที่ความขัดแย้ง
เพื่อยุติกรณีพิพาทในระยะยาว กัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาปี 1962 เพิ่มเติม ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 ว่า บริเวณพื้นที่ชะง่อนผา หมายถึงตัวปราสาทและพื้นที่ใกล้เคียงบนยอดเขา ถือเป็นของกัมพูชาโดยสมบูรณ์ตามคำพิพากษาปี 1962 สั่งให้ประเทศไทยมีพันธะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจที่ประจำการอยู่ในบริเวณดังกล่าวออกไปทั้งหมด
ศาลปฏิเสธคำร้องของกัมพูชาที่ขอสิทธิ์เพิ่มเติมเหนือพื้นที่นอกเหนือจากชะง่อนผาที่พิพาทกัน นั่นหมายความว่าประเด็นเรื่องเส้นเขตแดนรอบนอกพื้นที่ปราสาท (เช่น พื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่เคยเป็นปัญหา) ยังต้องเจรจาปักปันกันต่อไปภายใต้กลไกทวิภาคี
หลังคำตัดสินนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาก็สงบลงอย่างมาก ทั้ง 2 ประเทศแถลงยืนยันเคารพคำพิพากษาศาลและหันมาแก้ไขปัญหาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และเวทีความร่วมมืออาเซียน
ในปัจจุบันความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาอยู่ในภาวะปกติ มีการเปิดจุดผ่านแดนหลายแห่งเพื่อการค้าและการท่องเที่ยว ข้อพิพาทเขตแดนที่เหลืออยู่ถูกกันไว้ให้เจรจาภายใต้กรอบคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วม ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงจะดำเนินการอย่างสันติและหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง
ประเทศไทยเองก็มีบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา นักการเมืองและประชาชนจำนวนมากจึงสนับสนุนแนวทางสันติวิธี เช่น เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยได้โพสต์ย้ำว่าการเจรจาคือหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาชายแดนช่องบก สามเหลี่ยมมรกต ควรใช้กรณีปราสาทพระวิหารเป็นบทเรียนร่วมกัน แทนการปลุกกระแสชาตินิยมที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงอีก

ติดตาม The Thaiger บน Google News: