เตือนคนไทย HIV สถิติปี 68 มีผู้ติดเชื้อ สะสมกว่า 5 แสนคน

กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยข้อมูล สถิติโรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ในประเทศไทยประจำปี 2568 คาดว่า จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 8,862 คน คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV จะสูงถึง 10,217 คน
ข้อมูลในปี 2567 พบว่า ผู้ชายติดเชื้อมากกว่าผู้หญิง อัตราส่วน 7:1 เฉพาะในกรุงเทพมหานครจังหวัดเดียว 62% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ เป็นกลุ่มชายรักชาย รองลงมา 24% คือคู่ผลเลือดต่าง (คนนึงบวกคนนึงลบ) คู่นอนชั่วคราวว 7% ซื้อขายบริการเพียง 4% และน้อยสุด 3% จากการใช้เข็มกระบอกฉีดยาร่วมกัน

จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ที่ยังมีชีวิตอยู่ในประเทศไทย จะมีมากถึง 568,565 คน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงภาระด้านสาธารณสุขที่ยังคงอยู่ และความจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินมาตรการควบคุม ป้องกัน และรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
HIV คืออะไร ทำไมถึงน่ากลัว
HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 เมื่อร่างกายสูญเสียภูมิคุ้มกันมากขึ้น ผู้ติดเชื้อจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ จนเข้าสู่ภาวะ เอดส์ (AIDS)
เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนไม่สามารถต่อสู้กับโรคได้อีกต่อไป
HIV ติดต่อผ่านของเหลวในร่างกาย ได้ทาง เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งในช่องคลอด น้ำนมแม่ มักติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น การรับเลือดที่ปนเปื้อน การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก (ระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร)
HIV ไม่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การจับมือ การกอด การใช้ห้องน้ำร่วมกัน หรือการกินอาหารร่วมกัน
วิธีป้องกัน ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ป้องกัน HIV ได้สูงสุด รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วย แนะนำให้ ตรวจเลือดหาเชื้อ HIV อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การรู้เร็ว รักษาเร็ว สามารถควบคุมเชื้อไว้ได้
ใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ยาต้านไวรัส ใช้เพื่อ “ป้องกัน” การติดเชื้อ HIV เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น คู่ของผู้ติดเชื้อ หรือผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง
หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรเข้ารับการฝากครรภ์ และตรวจ HIV เพื่อป้องกันการส่งผ่านเชื้อไปยังทารก
รักษา HIV ได้อย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา HIV ให้หายขาด แต่สามารถควบคุมไวรัสได้ด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy – ART)
ผู้ที่ได้รับยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอสามารถมีชีวิตยืนยาว มีคุณภาพชีวิตใกล้เคียงคนทั่วไป หากรักษาจนตรวจไม่พบเชื้อ (Undetectable Viral Load) ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้จนเกือบเป็นศูนย์ได้ด้วย
สามารถเข้ารับบริการตรวจ HIV ฟรี ได้ที่โรงพยาบาลของรัฐ และคลินิกนิรนามทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมผ่านสายด่วนสุขภาพ 1663 (ตลอด 24 ชม.)
หากเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ หรือเซ็กซ์หมู่ แต่ทุกคนผลเลือดเป็นลบ จะติดเชื้อ HIV ไหม
ถ้าทุกคนผลเลือดลบจริง และ ไม่มีใครอยู่ในช่วง window period (ระยะฟักตัว) คุณมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย ความเสี่ยง ก็แทบเป็นศูนย์
แต่อย่าชะล่าใจ เพราะ ผลเลือด “ลบ” ไม่เท่ากับ “ไม่มีเชื้อ” เสมอไป หากคนหนึ่งเพิ่งติดเชื้อมาไม่นาน เช่น ภายใน 7-21 วัน ผลตรวจ HIV อาจยังเป็นลบเพราะอยู่ในช่วงฟักตัว ตรวจยังไม่เจอ แต่สามารถแพร่เชื้อได้แล้ว
การเปลี่ยนคู่นอนหลายคน = เพิ่มโอกาสเจอคนในกลุ่มเสี่ยง ต่อให้ทุกคนผลเลือดลบล่าสุด ก็ไม่มีทางรู้ได้ 100% ว่าคู่นอนของเขา/เธอคนก่อนหน้ามีเชื้อหรือไม่ ยิ่งในเซ็กซ์หมู่ บางคนอาจมีเพศสัมพันธ์หลายรอบในช่วงเวลาสั้น ความเสี่ยงในการวนเวียนเชื้อ ระหว่างผู้ที่คิดว่าตัวเองปลอดภัยก็มีอยู่ บวกกับถ้าไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักยิ่งมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ
หากมีการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันโดยไม่ทำความสะอาด ก็เป็นช่องทางถ่ายเทของเหลวและเลือดเช่นกัน
ดังนั้น แนะนำให้ ตรวจเลือดแบบ HIV Combo (4th Gen) สามารถตรวจจับได้เร็วขึ้น แม่นยำกว่าแบบทั่วไป ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง แม้กับคนที่ “ผลเลือดลบ” หรือ ใช้ PrEP (ยาเพร็ป) สำหรับผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีเซ็กซ์แบบไม่ใช้ถุงยางสม่ำเสมอ
ติดตาม The Thaiger บน Google News: