
หมิว ลลิตา เปิดใจหมดเปลือก เผยสาเหตุหายหน้า 10 ปี เผชิญวิกฤตป่วยหนัก หวิดติดเตียง เสี่ยงอัมพาต
นางเอกตลอดกาล หมิว-ลลิตา ปัญโญภาส ได้เปิดใจผ่านรายการ “คุยแซ่บShow” ทางช่อง One31 ถึงสาเหตุที่หายหน้าไปจากวงการบันเทิงนานเกือบ 10 ปี พร้อมเล่าประสบการณ์เฉียดตายจากอาการป่วยหนักเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 2 ครั้ง จนเกือบเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต และเคยนอนติดเตียง ร่างกายครึ่งล่างมีอาการชา
หมิว ลลิตา เล่าว่า ผลงานละครเรื่องสุดท้ายคือเรื่อง “ล่า” ซึ่งตอนนั้นอายุ 45 ปี หลังจากนั้นได้ผันตัวมาเป็นพิธีกรรายการ ร่วมกับ ท็อป ดารณีนุช เป็นเวลา 8 ปี ก่อนจะหายหน้าไปจริงๆ จังๆ อีก 2 ปี

ช่วงที่หายไปนั้น ไม่ได้ตัดสินใจจะออกจากวงการบันเทิงถาวร แต่เป็นช่วงที่กำลังทุ่มเทกับการสร้างธุรกิจที่พักและร้านกาแฟ ซึ่งเริ่มในช่วงโควิด-19 เปิดเป็นทางการประมาณปี พ.ศ. 2565 ตั้งใจทำที่พักเพียง 10 ห้อง แต่เน้นคุณภาพของวัสดุ บริการอย่างเต็มที่ ด้วยงบประมาณกว่า 8 หลัก เพื่อให้ผู้เข้าพักได้รับความสุข ความสะดวกสบายอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมิวต้องพักงานในวงการไป คือปัญหาสุขภาพที่รุมเร้า เริ่มต้นจากอาการปวดขาข้างหนึ่งอย่างรุนแรง จนไม่สามารถนั่งห้อยขาตามปกติได้เกิน 2 ชั่วโมง ต้องยกขาขึ้นพาดหรือนอนราบเท่านั้น ทนอยู่กับอาการปวดและยาแก้ปวดมาเป็นปี ก่อนจะตรวจพบว่าเป็น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่กระดูกสันหลังส่วนเอวข้อที่ 5 (L5) จนหมอนรองกระดูกแตก แม้จะฉีดสเตียรอยด์ในช่วงแรก แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นจนต้องตัดสินใจผ่าตัด
สาเหตุที่หมอนรองกระดูกแตกนั้น คุณหมอชี้ว่าอาจเกิดจากการสะสมของแรงกระแทก ประกอบกับหมิวเป็นคนทรงตัวไม่ค่อยดี หกล้มบ่อย ครั้งหนึ่งเคยตกบันไดซึ่งอาจเป็นฟางเส้นสุดท้าย รวมถึงการใช้ร่างกายอย่างหนักโดยไม่ระมัดระวังในช่วงก่อสร้างที่พัก เช่น ช่วยคนงานยกหิน ยกปูน ดึงไม้ ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ โดยไม่ทันคิดถึงผลกระทบตามวัย

การผ่าตัดครั้งแรกเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ประสบความสำเร็จด้วยดี หายจากอาการปวด ใช้เวลาพักฟื้นเพียงไม่นาน (อยู่โรงพยาบาล 3 วัน พักที่บ้าน 7 วัน) ก็กลับมาทำงานได้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน อาการปวดก็กลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นที่ขาอีกข้างหนึ่ง
เมื่อทำ MRI ซ้ำ กลับไม่พบความผิดปกติที่หมอนรองกระดูก คุณหมอจึงต้องสแกนอย่างละเอียดลงไปถึงบริเวณก้นกบ จึงพบสาเหตุที่แท้จริงคือ ซีสต์ (Cyst) จำนวน 4-5 ก้อน เกาะอยู่ที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ ซึ่งเป็นเคสที่พบได้น้อยมาก (1 ใน 100) และไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่ชัด
การรักษาจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดใหญ่แบบเปิดหน้าท้อง (ผ่าแบบโบราณ) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าครั้งแรก หมิวยอมรับว่ารู้สึกกลัว แต่ก็ต้องผ่าตัดเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว
แม้จะเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดคือ ช่วงพักฟื้นหลังการผ่าตัดครั้งที่สอง ซึ่งต้องนอนติดเตียงนานนับเดือน ขยับตัวลำบาก ร่างกายครึ่งล่างมีอาการชา ไม่ค่อยมีความรู้สึก ไม่สามารถเข้าห้องน้ำเองได้ (ต้องไปสวนที่โรงพยาบาล) ไม่สามารถนอนหงายหรือขึ้นลงบันไดได้ตามปกติ

ตอนนั้นเองที่หมิวรู้สึก “ใจเสียมาก” กังวลว่าอาจจะไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม หรืออาจต้องเผชิญกับภาวะอัมพฤกษ์-อัมพาต ช่วงเวลานั้นทำได้เพียงนอนดูภาพยนตร์ไปกว่า 100 เรื่อง
ในช่วงที่ป่วยหนัก หมิวยังคงมีกำลังใจดี พยายามพูดคุยกับเพื่อน แต่ก็พยายามปิดบังความรุนแรงของอาการไม่ให้ลูกชายคนโต “น้องแพลงตอน” ซึ่งเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทราบ แต่สุดท้ายเมื่อต้องเดินทางไปพบกันครึ่งทางที่ประเทศอังกฤษ เนื่องจากหมิวไม่สามารถทนการเดินทางนานๆ ได้ ลูกชายก็ได้เห็นเธอต้องนั่งรถเข็นในสนามบิน ส่วนลูกชายคนเล็ก “น้องอีตั้น” รับรู้มาตลอดเพราะเป็นคนช่วยเข็นรถให้คุณแม่

ปัจจุบัน ผ่านมาเกือบ 2 ปีหลังการผ่าตัดครั้งที่สอง สุขภาพของหมิวกลับมาเกือบเป็นปกติแล้ว สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้โดยไม่ต้องใช้รถเข็น แต่คุณหมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทก เช่น การวิ่ง เพราะยังมีโอกาสที่ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังจะเกิดขึ้นได้อีก
ด้านชีวิตครอบครัว ตอนนี้น้องแพลงตอนอายุ 24 ปี เรียนจบด้านภาพยนตร์และกลับมาพักผ่อนที่ไทย ส่วนน้องอีตั้นอายุใกล้ 22 ปี กำลังเอาดีด้านนายแบบ มีผลงานเดินแบบให้แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง หลุยส์ วิตตอง ซึ่งหมิวเล่าติดตลกว่า
ตอนไปเชียร์ลูกชายเดินแบบ ตื่นเต้นถ่ายวิดีโอ แต่กลับถ่ายผิดคนเพราะนายแบบแต่งตัวและหน้าตาคล้ายกันไปหมด เธอยังเผยถึงความเป็นห่วงลูกๆ โดยเฉพาะตอนที่แพลงตอนไปเรียนต่อต่างประเทศช่วงโควิดและมีกระแสต่อต้านคนเอเชีย รวมถึงเล่าโมเมนต์สุดห่วงใยที่เคยบอกให้ลูกชายซื้อถุงยางอนามัยติดตัวไปเยอะๆ ก่อนเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศด้วย

สำหรับสถานะหัวใจ หมิว ลลิตา เผยว่าตอนนี้ไม่ได้มองหาความรักครั้งใหม่ หลังจากประสบการณ์ความรักที่ไม่ประสบความสำเร็จในอดีต เธอมุ่งมั่นที่จะเป็นทีมซัพพอร์ตให้กับลูกชายทั้งสองคน อยากให้ลูกมีความสุขกับความรักและชีวิตของพวกเขาเอง ไม่อยากให้ลูกรู้สึกว่าเธอแบ่งความสนใจไปให้คนอื่น พร้อมฝากข้อความถึงลูกๆ ว่ารักและภูมิใจในตัวทั้งคู่เสมอที่ดีและตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หมิว ลลิตา ภรรยา กัน จอมพลัง ลงประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 ตัวแทนอยุธยา
- หมิว ลลิตา เล่าช่วงป่วยหนัก นอนติดเตียง 1 เดือน ทำอดรับละคร ลูกคือกำลังใจให้สู้
- ส่องความสวย ‘หมิว ลลิตา’ นางเอกดาวค้างฟ้า สมัยเรียน ม.5 เป็นถึงเชียร์ลีดเดอร์
ติดตาม The Thaiger บน Google News: