จำคุก สิระ เจนจาคะ 1 ปี ตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี คดีสมัคร ส.ส.ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ

ศาลอาญาตัดสินจำคุก “สิระ เจนจาคะ” อดีต ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี จากคดีลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2562 ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนายสิระเคยถูกตัดสินจำคุกในคดีฉ้อโกงทรัพย์เมื่อปี 2538 ซึ่งตามกฎหมายเลือกตั้ง ถือเป็นลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แต่เขาก็ยังคงลงสมัครและได้รับเลือกตั้งในเขตหลักสี่
ต่อมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการเป็น ส.ส. ของนายสิระสิ้นสุดลง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ดำเนินคดีอาญากับนายสิระ
ศาลอาญาเห็นว่านายสิระกระทำผิดจริงตามที่ กกต. ฟ้อง โดยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองขาดคุณสมบัติ แต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงตัดสินจำคุกและตัดสิทธิ์ทางการเมืองดังกล่าว
โดยห้องพิจารณา 903 ศาลพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศให้ผู้ประสงค์เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ถึง 8 กุมภาพันธ์ 62 โดยในเขตเลือกตั้งที่ 9 และมีประการประกาศรับสมัครที่อาคารกีฬาเวช 2 จำเลยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.เขต 9 พรรคพลังประชารัฐต่อมาจำเลยได้รับเลือกตั้ง
วันที่ 17 ธ.ค.2563 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยนั้นสิ้นสุดลงหรือไม่เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยมีคุณสมบัติขาดคุณสมบัติรองรับสมัครการเลือกตั้ง เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันในคดีทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์เป็นเวลา 4 เดือน
ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาพของจำเลยได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.62 การกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนการเลือกตั้งโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการไต่สวนโดยให้เพิกถอนจำเลยและดำเนินคดีอาญากับจำเลยเนื่องจากเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติลงรับสมัครการเลือกตั้ง
ศาลเห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานหลักฐานพบว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาถึงที่สุดที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ต่อศาลแขวงปทุมวันว่าคดีที่พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนต่อนายสิระในข้อหาฐานฉ้อโกงทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 เป็นความผิด 2 กระทงจำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 8 เดือน
คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย 4 เดือน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยต้องโทษคำพิพากษาคดีถึงที่สุดของศาลแขวงปทุมวันจำเลยจึงเป็นบุคคลต้องห้ามไม่มีสิทธิ์ลงรับสมัครเลือกตั้งส.ส.
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่าจำเลยรู้ตัวเองอยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการลงรับสมัครการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ยังลงรับสมัครเลือกตั้ง เห็นว่าจะพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเพียงพอส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทย์ได้เชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติรับสมัครการเลือกตั้ง เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. พ.ศ 2561 มาตรา 4,42 (12),151 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปีและให้เพิกถอนสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง 20 ปีนับตั้งแต่วันมีคำพิพากษา
ขณะนี้ นายสิระได้ยื่นเรื่องขอประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อ ซึ่งต้องติดตามดูกันต่อไปว่าผลจะเป็นอย่างไร
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธุรกิจใหม่ สิระ เจนาคะ เปิดเช่าสินสอดสุดปัง รันวางการคนอยากร่วมหอลงโลง
- ไม่รอด ‘สิระ’ นอนคุกต่อ 8 เดือน ใส่ร้าย ‘เสรีพิศุทธ์’ ปมสร้างท่าเทียบเรือ
- ‘สิระ’ เจอคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา หลังศาลอุทธรณ์แก้โทษคดีหมิ่นเสรีพิศุทธ์