ข่าว

ข่าวดี ราชกิจจา ประกาศแล้ว เงินบำเหน็จชราภาพ ประกันสังคม ม.33-39-40

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องผลประโยชน์ตอบแทน เงินบำเหน็จชราภาพ ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 มาตรา 40 มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 14 มี.ค.2568

วันที่ 13 มี.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่อง กำหนดผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39

โดยที่เป็นการสมควรกำหนดอัตราผลประโยชน์ตอบแทน เงินบำเหน็จชราภาพ และวิธีในการคำนวณจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ ผู้ประกันตน ที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จชราภาพ

อาศัยอำนาจตามความในข้อ 6 (2) ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ. 2550 เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ 2 เงินสมทบสุทธิ หมายถึง เงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ

ข้อ 3 การคำนวณจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่ผู้มีสิทธิ ให้คำนวณจ่ายถึงวันที่มีสิทธิ ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 7 ของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ. 2550

ข้อ 4 ผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพ ให้คำนวณจ่ายในอัตราร้อยละสองจุดแปดหนึ่งต่อปีของเงินสมทบสุทธิและผลประโยชน์ตอบแทนสะสะสมรวมกัน

ข้อ 5 อัตราผลประโยชน์ตอบแทนตามข้อ 4 ให้ใช้ในการคำนวณจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพ จนกว่าสำนักงานประกันสังคมจะออกประกาศเปลี่ยนแปลง

ประกาศสำนักงานประกันสังคม เรื่องผลประโยชน์ตอบแทน เงินบำเหน็จชราภาพ ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39

นอกจากนี้ยังประกาศ กำหนดอัตราผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ประจำปี พ.ศ. 2567

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 และมาตรา 20 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2561 เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ประกาศฉบับนี้ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ 2 เงินสมทบ หมายถึง เงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพที่คิดจากอัตราเงินสมทบที่จ่ายเข้ากองทุนเดือนละห้าสิบบาทตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง และเงินสมทบเพิ่มเติมตามมาตรา 19 วรรคสอง หรือคิดจากอัตราเงินสมทบที่จ่ายเข้ากองทุนเดือนละหนึ่งร้อยห้าสิบบาทตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง และเงินสมทบเพิ่มเติมตามมาตรา 20 วรรคสอง

ข้อ 3 ผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพ ประจำปี พ.ศ. 2567 ให้คำนวณจ่ายในอัตราร้อยละสี่จุดหนึ่งเก้าต่อปีของเงินสมทบและผลประโยชน์ตอบแทนสะสมรวมกัน

ข้อ 4 อัตราผลประโยชน์ตอบแทนตามข้อ 3 ให้ใช้บังคับสำหรับการคำนวณจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพในปีต่อไปด้วย จนกว่าสำนักงานประกันสังคมจะออกประกาศเปลี่ยนแปลง

กำหนดอัตราผลประโยชน์ตอบแทนเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ประจำปี พ.ศ. 2567

เงินบำเหน็จชราภาพ ประกันสังคม มาตรา 33 มาตรา 39

เงินชราภาพในระบบประกันสังคม เป็นเงินที่ถูกสะสมไว้เพื่อใช้จ่ายในยามเกษียณอายุ สิทธิประโยชน์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อมอบความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้ประกันตนในระยะยาวเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ โดยเป็นเสมือนหลักประกันที่ช่วยให้ผู้ที่เคยเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือผู้ประกันตนทั่วไปสามารถวางใจได้ว่าจะมีเงินออมไว้สำหรับการใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายชีวิต

ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก คือ

1. เงินบำเหน็จชราภาพ เป็นเงินก้อนที่จ่ายให้เพียงครั้งเดียว ทั่วไปแล้วจะสงวนไว้สำหรับผู้ที่ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด

2. เงินบำนาญชราภาพ เป็นเงินรายเดือนที่จะจ่ายให้ตลอดชีวิต หลังจากที่ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบครบตามจำนวนเดือนที่กำหนด

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นั้นหมายถึงลูกจ้างที่ทำงานให้กับนายจ้างในสถานประกอบการต่างๆ ในขณะที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาก่อน และต่อมาได้สมัครใจที่จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ความแตกต่างระหว่างสถานะการเป็นผู้ประกันตนทั้งสองมาตรานี้จะส่งผลต่อเงื่อนไขและวิธีการคำนวณเงินชราภาพที่จะได้รับ

เงินบำเน็จชราภาพได้ตอนไหน

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่จะได้รับสิทธิเงินบำเหน็จชราภาพนั้น จะต้องมีคุณสมบัติคือ มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และได้สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนแล้ว เงื่อนไขสำคัญคือ จะต้องเป็นผู้ที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ครบ 180 เดือน

ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 เงื่อนไขในการได้รับเงินบำเหน็จชราภาพก็มีความคล้ายคลึงกัน โดยผู้ประกันตนจะต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องไม่เป็นผู้ประกันตนทั้งในมาตรา 33 และมาตรา 39 แล้ว ที่สำคัญคือ จะต้องเป็นผู้ที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมไม่ครบ 180 เดือนเช่นเดียวกัน

วิธีการคำนวณเงินบำเหน็จชราภาพ

ผู้ประกันตนทั้ง 2 มาตรานั้นจะแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบ หากผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จเป็นจำนวนเท่ากับเงินสมทบที่ผู้ประกันตนได้จ่ายสมทบเพื่อประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หากผู้ประกันตนส่งเงินสมทบเป็นเวลา 9 เดือน โดยจ่ายเดือนละ 300 บาท จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับ 2,700 บาท

กรณีที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเป็นจำนวนเท่ากับเงินสมทบส่วนที่ผู้ประกันตนและนายจ้างได้จ่ายรวมกัน พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนจากเงินสมทบส่วนนั้นด้วย โดยอัตราผลประโยชน์ตอบแทนจะถูกคำนวณตามอัตราที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละปี

ตัวอย่างเช่น หากพนักงานส่งเงินสมทบรวม 10 ปี (120 เดือน) และฐานเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 15,000 บาท เงินสมทบส่วนชราภาพ (3% ของฐานเงินเดือน) จะเท่ากับ 450 บาท/เดือน x 120 เดือน = 54,000 บาท ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับในส่วนของตนเองและส่วนของนายจ้างรวมกัน พร้อมกับผลประโยชน์จากการลงทุน

ตาราง ตัวอย่างการคำนวณเงินบำเหน็จชราภาพ

จำนวนปีที่ส่งเงินสมทบ เงินสมทบรายเดือน (ผู้ประกันตน) เงินสมทบรายเดือน (นายจ้าง) เงินสมทบรวม ดอกเบี้ยโดยประมาณ เงินบำเหน็จรวมโดยประมาณ
1 ปี (12 เดือน) 450 บาท 450 บาท 10,800 บาท 500 บาท 11,300 บาท
5 ปี (60 เดือน) 450 บาท 450 บาท 54,000 บาท 3,000 บาท 57,000 บาท
10 ปี (120 เดือน) 450 บาท 450 บาท 108,000 บาท 7,000 บาท 115,000 บาท

ขั้นตอน เอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อขอรับเงินบำเหน็จชราภาพ

สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ต้องการขอรับเงินบำเหน็จชราภาพ สามารถดำเนินการได้โดยติดต่อสำนักงานประกันสังคม

เมื่อไปถึงสำนักงานฯ ให้รับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่ เมื่อถึงคิวของท่าน ให้นำบัตรประจำตัวประชาชนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล เจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และบัญชีธนาคารที่ต้องการให้โอนเงิน จะมีการยืนยันตัวตนผ่าน SMS โดยระบบจะส่งรหัส OTP เพื่อใช้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ จากนั้น เจ้าหน้าที่จะพิมพ์หนังสือหลักฐานการยื่นคำขอรับเงินมอบให้ ซึ่งในหนังสือจะระบุถึงกำหนดวันที่ท่านจะได้รับเงิน โดยทั่วไปจะได้รับเงินภายใน 5 วันทำการ

เอกสารที่จำเป็นสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ในการขอรับเงินบำเหน็จชราภาพ ได้แก่ แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สปส. 2-01) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกันตน (อาจจำเป็นในบางกรณี) และสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารหน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ประกันตน

ขั้นตอนการขอรับเงินบำเหน็จชราภาพสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39

มีความคล้ายคลึงกัน โดยสามารถติดต่อสำนักงานประกันสังคม หรือดำเนินการยื่นคำขอทางไปรษณีย์ได้ ผู้ประกันตนจะต้องกรอกแบบคำขอ สปส. 2-01 พร้อมลงลายมือชื่อ จากนั้นนำไปยื่นที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ หรือส่งทางไปรษณีย์พร้อมแนบหลักฐานให้ครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบหลักฐานและพิจารณา หลังจากนั้น สำนักงานประกันสังคมจะส่งหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ประกันตนทราบ การจ่ายเงินอาจทำในรูปแบบของเงินสดหรือเช็ค (กรณีมารับด้วยตนเองหรือมอบอำนาจ) หรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร/พร้อมเพย์ตามที่ผู้ขอระบุ

เอกสารที่จำเป็นสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 ในการขอรับเงินบำเหน็จชราภาพ

หมือนกับของผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้แก่ แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สปส. 2-01) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน (อาจจำเป็น) และสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารหน้าแรก

ช่องทางการยื่นคำขอรับเงินบำเหน็จชราภาพนั้นมีหลายช่องทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตน โดยสามารถยื่นได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือยื่นขอรับทางไปรษณีย์ นอกจากนี้ อาจมีช่องทางออนไลน์ในการยื่นคำขอ แต่รายละเอียดไม่ปรากฏชัดเจนในข้อมูลที่ได้รับ

เงินบำเน็จชราภาพ ประกันสังคม

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button