ย้อนประวัติ ยีน แฮกแมน จากทหาร สู่นักแสดงตำนานฮอลลีวูด

ย้อนประวัติ ยีน แฮกแมน จากทหาร สู่นักแสดงตำนานฮอลลีวูด เจ้าของบทบาทดังมากมาย คนไทยรู้จักจากเรื่อง ซุปเปอร์แมน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยหนีออกจากบ้านไปเป็นทหารนาวิกโยธินเมื่ออายุ 16 ปี ได้เติบโตขึ้นมาผงาดอยู่บนเวทีที่ยิ่งใหญ่ของฮอลลีวูดในฐานะนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ 2 สมัย
ชีวิตของยีน แฮกแมน เปี่ยมไปด้วยความมุมานะ ความหลงใหล และการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง ตลอดระยะเวลากว่าสี่ทศวรรษในวงการบันเทิง
ยีน แฮกแมน (Gene Hackman) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1930 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในวัยเด็กเขาหลงรักการชมภาพยนตร์และใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบ โดยมีเจมส์ แคกนีย์ (James Cagney) เป็นดาราขวัญใจผู้จุดประกายแรงบันดาลใจ
ด้านครอบครัวของแฮกแมนไม่สมบูรณ์นัก พ่อแม่หย่าร้างกันตอนเขาอายุ 13 ปี และพ่อก็ทอดทิ้งครอบครัวไป ความไม่มั่นคงในชีวิตช่วงวัยรุ่นทำให้แฮกแมนต้องพึ่งพาตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ

โกหกอายุเพื่อให้ได้เข้าประจำการตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี
ด้วยความมุ่งมั่นจะยืนบนลำแข้งของตัวเอง แฮกแมนตัดสินใจออกจากบ้านเมื่ออายุได้ 16 ปี เขาลักลอบเปลี่ยนอายุของตนในใบสมัครเพื่อให้สามารถเกณฑ์ทหารและเข้าร่วม นาวิกโยธินสหรัฐ ราวปี 1946
ช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 แฮกแมนปฏิบัติหน้าที่เป็นพลวิทยุสนาม ประจำการอยู่ที่ประเทศจีนและญี่ปุ่นในช่วงยุคหลังสงครามโลก ครั้งนั้นเขาได้มีโอกาสลองทำหน้าที่ผู้ประกาศทางวิทยุภาคสนามแทนเพื่อนทหารที่บาดเจ็บ และพบว่าตนเองชื่นชอบการสื่อสารทางวิทยุเป็นอย่างมาก
หลังปลดประจำการในปี ค.ศ. 1951 แฮกแมนเดินตามความสนใจนี้ด้วยการเข้าเรียนด้านสื่อสารมวลชน การผลิตรายการโทรทัศน์ภายใต้ทุนการศึกษา GI Bill ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์
แม้เขาจะไม่ได้เรียนจบปริญญา แต่ทักษะการประกาศที่สั่งสมมาก็กลายเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่งให้เขาในเส้นทางสายนักแสดงต่อไป

สู่เส้นทางนักแสดง
หลังทดลองทำงานเป็นผู้ประกาศวิทยุและโทรทัศน์ตามสถานีท้องถิ่นอยู่ระยะหนึ่ง แฮกแมนก็ตระหนักในช่วงอายุประมาณ 30 ปีว่าแท้จริงแล้วความฝันที่อยากเป็นนักแสดงยังคงอยู่ในใจเขาไม่เสื่อมคลาย เขาจึงตัดสินใจครั้งสำคัญหันมามุ่งทางการแสดงอย่างเต็มตัวในปี ค.ศ. 1956 พร้อมย้ายไปฝึกฝนที่โรงเรียนการแสดง Pasadena Playhouse ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สถานที่ซึ่งเขาได้พบกับดัสติน ฮอฟฟ์แมน (Dustin Hoffman) ผู้เป็นเพื่อนนักแสดงที่มีความมุ่งมั่นคล้ายๆ กัน
ณ ที่นั่น แฮกแมนซึ่งอายุมากกว่าคนอื่น มีบุคลิกไม่เหมือนใคร กลับถูกมองว่าเป็นคนนอกในสายตาเพื่อนร่วมรุ่น ถึงขั้นถูกโหวตให้เป็น “ผู้ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยที่สุด” ในชั้นเรียนการแสดง
คำดูแคลนนี้ไม่อาจบั่นทอนหัวใจของชายผู้ไม่ยอมแพ้คนนี้ได้ ตรงกันข้าม มันกลับกระตุ้นให้แฮกแมนฮึดสู้ยิ่งกว่าเดิม เขาตัดสินใจย้ายไปนิวยอร์กซิตีเพื่อหาทางพิสูจน์ว่าเสียงวิจารณ์เหล่านั้นคิดผิดอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงที่ยังไม่มีงานแสดง แฮกแมนต้องทำงานสารพัดอย่างเพื่อเลี้ยงชีพ รวมถึงงานเป็นพนักงานร้านอาหาร ยามเฝ้าประตูโรงแรม วันหนึ่งขณะทำงานอยู่ที่ร้านอาหาร Howard Johnson’s เขาบังเอิญพบกับครูเก่าจากพาซาเดนาเพลย์เฮาส์เข้า ครูผู้นั้นเห็นแฮกแมนในชุดพนักงานเสิร์ฟก็กล่าวเย้ยหยันว่า “งานนี้ยิ่งย้ำว่าเธอไม่มีทางเอาดีได้หรอก”

คำสบประมาทดังกล่าวประกอบกับครั้งหนึ่งที่นายทหารเรือคนหนึ่งเคยด่าเขาขณะทำงานเฝ้าประตูว่า “ไอ้สารเลว แกมันไม่มีทางเจริญ” ทำให้แฮกแมนยิ่งมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมล้มเลิกความฝันของตนเองง่ายๆ เขากัดฟันสู้ บงานแสดงเล็กๆ ทุกอย่างที่พอจะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นบทตัวประกอบในละครเวทีหรืองานตัวประกอบในโทรทัศน์ เพื่อสั่งสมประสบการณ์และรอโอกาสที่จะมาถึง แฮกแมนเคยกล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ในภายหลังว่า เขาใช้คำดูถูกเหล่านั้นเป็นเชื้อไฟผลักดันตนเอง “ผมจะไม่ยอมให้พวกมันทำลายผมได้
ผมสัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้งานแสดงให้จงได้ มันเหมือนเป็นสงครามจิตวิทยาระหว่างผมกับพวกเขา … ถ้าคุณรักการแสดงจริงๆ คุณจะหลงใหลความท้าทายนี้ มันเหมือนยาเสพติดที่ทำให้เรายิ่งยืนหยัดสู้ต่อ”
บทบาทแจ้งเกิดในฮอลลีวูด
ปลายทศวรรษ 1960 หลังโลดแล่นอยู่บนเวทีละครเวที รับบทเล็กๆ ในจอโทรทัศน์อยู่หลายปี แฮกแมนก็ได้รับโอกาสสำคัญที่พลิกชีวิตของเขาให้ก้าวสู่จอเงินอย่างเต็มตัว ผู้กำกับชื่อดัง วอร์เรน บีตตี รู้สึกประทับใจฝีมือการแสดงของแฮกแมนจากผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกๆ อย่าง Lilith (1964) จึงชักชวนเขามาร่วมแสดงในภาพยนตร์แนวอาชญากรรมย้อนยุค Bonnie and Clyde (1967)
ในเรื่องนี้แฮกแมนได้รับบทเป็น บั๊ก แบร์โรว์ พี่ชายของตัวละครจอมโจร Clyde ซึ่งเขาสามารถถ่ายทอดบทบาทสมทบนี้ได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นที่พูดถึง ผลลัพธ์คือเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบชายจากบทบาทดังกล่าว ถือเป็นหมุดหมายที่ทำให้ชื่อของยีน แฮกแมนเริ่มเป็นที่จับตามองในวงการภาพยนตร์
ความสำเร็จครั้งนั้นต่อยอดด้วยผลงานชั้นเยี่ยมในเวลาต่อมา แฮกแมนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาเดิมอีกครั้งจากภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง I Never Sang for My Father (1970) ก่อนจะก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตเมื่อเขารับบทนำเป็นนายตำรวจจอมระห่ำ “โป๊ปอาย” ดอยล์ ในภาพยนตร์แอ็กชั่นอาชญากรรมเรื่อง The French Connection (1971) บทนำนี้ส่งให้แฮกแมนคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายมาครองได้สำเร็จ ประกาศศักดาให้เขากลายเป็นดาราแถวหน้าของฮอลลีวูดอย่างเต็มตัว

ออสการ์ตัวแรกในชีวิต
รางวัลออสการ์ที่ได้รับในวัย 41 ปีนี้เปรียบเสมือนฝั่งฝันที่แฮกแมนเฝ้าวิ่งตามมาตลอดชีวิต เมื่อเขาก้าวขึ้นรับรูปปั้นทองคำบนเวที ทุกคนก็รู้ดีว่าอดีตทหารผ่านศึกผู้นี้ได้พิสูจน์ตนเองอย่างยิ่งใหญ่แล้วหลังความสำเร็จถล่มทลายของ The French Connection ชื่อเสียงของยีน แฮกแมนก็ขจรขจายไปทั่ววงการ เขากลายเป็นนักแสดงที่งานชุกที่สุดคนหนึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 1970 โดยมีผลงานแสดงถึงสิบเรื่องภายในช่วงสามปีหลังจากนั้น ซึ่งนับว่าเป็นสถิติที่โดดเด่นมากในฮอลลีวูดยุคนั้น
บทบาทที่เขาเลือกรับก็มีความหลากหลาย ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ใดภาพลักษณ์หนึ่ง แฮกแมนมุ่งพิสูจน์ว่าตัวเองทำได้ทุกบท ตั้งแต่บทดราม่าเข้มข้นไปจนถึงบทเบาสมอง
พลังการแสดงในหลากหลายบทบาท
ความสามารถรอบด้านของแฮกแมนสะท้อนผ่านบทบาทที่แตกต่างกันมากมายในยุคหลังจากที่เขาโด่งดัง หนึ่งในบทที่เขาชื่นชอบที่สุดคือในภาพยนตร์แนวชีวิตเพื่อนร่วมทางเรื่อง Scarecrow (1973) ซึ่งแสดงร่วมกับอัล ปาชิโน่ ภาพยนตร์เล็กๆ เรื่องนี้ไม่เพียงคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เท่านั้น แต่ยังเป็นบทบาทที่แฮกแมนเคยให้สัมภาษณ์ว่า เป็นบทที่เขารักที่สุดในชีวิตการแสดงของตนเอง อีกด้วย
แฮกแมนยังเผยให้เห็นพรสวรรค์ด้านตลกของเขาผ่านฉากรับเชิญสั้นๆ แต่ทรงจำจากภาพยนตร์ล้อเลียนสยองขวัญ Young Frankenstein (1974) ที่เขาปรากฏตัวเป็นชายตาบอดสุดเปิ่นซึ่งเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างล้นหลาม
ความยืดหยุ่นในการแสดงของเขายังปรากฏชัดในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เมื่อแฮกแมนรับบท เล็กซ์ ลูเธอร์ วายร้ายจอมเจ้าเล่ห์ในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ Superman (1978) และภาคต่อของมัน การแสดงเป็นตัวร้ายขโมยซีนที่มีเสน่ห์ล้นเหลือของเขาในเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมยุคนั้นจดจำชื่อของแฮกแมนได้ในวงกว้าง และพิสูจน์ว่าเขาสามารถเล่นบทตลกร้ายได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้บทดราม่า
แน่นอนว่าเส้นทางอาชีพของแฮกแมนไม่ได้พุ่งขึ้นตลอดเวลา แม้เขาจะมีผลงานมาสเตอร์พีซหลายเรื่อง แต่ก็เคยผ่านช่วงเวลาที่หนังบางเรื่องล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นกัน ตัวอย่างเช่น Lucky Lady (1975) ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เขานำแสดงร่วมกับดาราดังในยุคนั้น กลับกลายเป็นหนังเจ๊งไม่เป็นท่าจนสร้างความผิดหวังให้กับทีมงานและตัวแฮกแมนเอง
แต่ความล้มเหลวในบางครั้งก็หาได้หยุดยั้งนักแสดงหัวใจแกร่งผู้นี้ไม่ แฮกแมนยังคงเดินหน้ารับบทใหม่ๆ อย่างไม่ย่อท้อ พัฒนาฝีมือและปรับตัวให้เข้ากับกระแสของวงการภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัยอย่างน่าชื่นชม
บุคลิกและหัวใจของความสำเร็จ

ซุปเปอร์สตาร์แสนติดดิน
เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของยีน แฮกแมน คือบุคลิกและนิสัยการทำงานที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เขาได้รับการยกย่องจากสื่อว่าเป็น “นักแสดงสามัญชน” ผู้ไม่ถือตัวและเข้าถึงบทบาทคนธรรมดาสามัญได้อย่างน่าอัศจรรย์
ด้วยรูปลักษณ์และท่าทางที่ดูติดดิน ไม่ฉูดฉาดแบบพระเอกฮอลลีวูดทั่วๆ ไป แฮกแมนจึงทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครของเขาได้ง่าย ราวกับกำลังชมเรื่องราวของคนเดินดินใกล้ตัวจริงๆ เขาขึ้นชื่อในด้านการแสดงอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งเกินพอดี แต่แฝงด้วยพลังและความจริงใจที่ส่งตรงถึงหัวใจผู้ชมทุกครั้งไปผู้กำกับหลายคนในวงการต่างชื่นชมทักษะการแสดงอันลึกซึ้งของแฮกแมน หนึ่งในคำกล่าวที่โด่งดังมาจากผู้กำกับ อลัน ปาร์คเกอร์ ซึ่งเคยร่วมงานกับแฮกแมนในภาพยนตร์ Mississippi Burning (1988)
ปาร์คเกอร์กล่าวว่า “ยีนเป็นนักแสดงที่ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ … ความอัศจรรย์ของยีน แฮกแมนคือเขาสามารถมองฉากหนึ่งๆ และตัดสินใจได้ว่าต้องทำอะไรที่จำเป็นโดยไม่ฟุ่มเฟือยเลย เขาไม่เคยเล่นใหญ่เกินไป แต่เขากลับทำได้ถูกจังหวะลงตัวเสมอ”
คำชื่นชมนี้สรุปแก่นแท้ของแฮกแมนในฐานะนักแสดงได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ความจริงใจและพอดี เขาไม่ใช่ดาราที่โดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ แต่โดดเด่นด้วยความสมจริงของการแสดงที่เข้าถึงจิตวิญญาณตัวละครทุกตัวที่ได้รับ นิสัยรักสงบและเอาจริงเอาจังในการทำงาน ทำให้เพื่อนร่วมงานยกให้เขาเป็นมืออาชีพชั้นครู ผู้ซึ่งพร้อมจะทุ่มเททั้งกายใจให้กับบทบาทโดยไม่หวั่นเกรงความเหน็ดเหนื่อยหรือคำวิจารณ์ใดๆ

ฝ่าคลื่นอุปสรรคและยุคเปลี่ยนผ่าน
ในช่วงทศวรรษ 1980-1990 แฮกแมนยังคงยืนหยัดอยู่แถวหน้าของวงการพร้อมปรับตัวเข้ากับบทบาทหลากหลายตามวัยที่เพิ่มขึ้น เขาสลับไปรับทั้งบทนำ บทสมทบในภาพยนตร์หลายแนวอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างหนึ่งที่โดดเด่นคือบทโค้ชบาสเกตบอลโรงเรียนมัธยมปลายในภาพยนตร์สร้างแรงบันดาลใจเรื่อง Hoosiers (1986) บทบาทโค้ชผู้เข้มงวดแต่เปี่ยมด้วยความหวังดีของเขาในเรื่องนี้ ทำให้ภาพยนตร์ดังกล่าวกลายเป็นที่รักของผู้ชมอเมริกันจนภายหลังได้รับการจัดอันดับให้เป็นภาพยนตร์กีฬาที่ดีที่สุดอันดับ 4 ตลอดกาลของสหรัฐอเมริกาโดยการสำรวจของ AFI
ถัดมาในปี 1988 แฮกแมนกลับมารับบทเข้มข้นอีกครั้งใน Mississippi Burning ที่เขาสวมบทเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอผู้ต่อสู้กับการเหยียดสีผิวในยุคสิทธิพลเมือง บทนี้ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายเป็นครั้งที่สอง และตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นดาราคุณภาพที่ฝากผลงานทรงพลังไว้ได้ในทุกยุคทุกสมัย
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่ถือเป็นไฮไลต์ในช่วงปลายอาชีพการแสดงของแฮกแมน คือการรับบทนายอำเภอจอมโหด “ลิตเติล บิล” แด็กเก็ต ในภาพยนตร์คาวบอยเรื่อง Unforgiven (1992) ของผู้กำกับคลินต์ อีสต์วูด บทนี้มีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง เป็นตัวละครผู้พิทักษ์กฎหมายที่มีความดีความเลวปะปนในตัวเอง แฮกแมนเคยตั้งใจว่าจะไม่รับเล่นบทที่มีความรุนแรงอีกแล้วในวัยชรา แต่เพราะเชื่อมั่นในฝีมือการกำกับของอีสต์วูด เขาจึงยอมตกลงรับบทนี้ และมันก็กลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง
บทนายอำเภอผู้โหดเหี้ยมแต่มีมิติของเขาใน Unforgiven ทำให้แฮกแมนคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้อีกครั้ง คราวนี้เป็นสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ปี 1993

คว้าออสการ์ตัวที่ 2
การคว้าออสการ์ครั้งที่สองในวัยเกือบ 63 ปีพิสูจน์ว่าแฮกแมนยังคงไม่หยุดสร้างสรรค์บทบาทท้าทายให้กับตนเอง เขายังคงทำได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ยุคหนุ่มๆ เลยทีเดียวห
แฮกแมนก็ยังคงมีผลงานสม่ำเสมอในช่วงทศวรรษ 1990 ปรากฏตัวทั้งในบทนำและบทสมทบในภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทกัปตันเรือดำน้ำผู้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียดใน Crimson Tide (1995) หรือบทนายพลจอมโหดใน The Quick and the Dead (1995)
เขายังไม่ลังเลที่จะรับเล่นหนังตลกเบาสมอง เช่น บทวุฒิสมาชิกเคร่งขรึมที่ต้องเผชิญเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นรักในภาพยนตร์ตลกเรื่อง The Birdcage (1996) ที่ได้ประชันบทบาทกับโรบิน วิลเลียมส์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแฮกแมนยังสนุกกับการท้าทายตัวเองด้วยแนวหนังที่หลากหลายในวัยที่สมควรแก่การพักผ่อนได้แล้ว
กระทั่งเข้าสู่ปี 2001 แฮกแมนก็ยังสร้างเซอร์ไพรส์ พลิกบทบาทมาเล่นหนังตลกร้ายแนวครอบครัวเรื่อง The Royal Tenenbaums ในบทบาท รอแยล เทเนนบอม คุณพ่อสุดเพี้ยนประจำตระกูล ผลงานการแสดงที่ทั้งขบขันและลึกซึ้งของเขาในเรื่องนี้ทำให้แฮกแมนคว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายประเภทภาพยนตร์เพลงหรือตลกมาครองในปี 2002 ถือเป็นเกียรติยศในช่วงปลายอาชีพที่สมศักดิ์ศรี เน้นย้ำว่าไม่ว่าบทบาทไหน แฮกแมนก็สามารถถ่ายทอดได้อย่างถึงแก่นแท้
จากจอเงินสู่งานประพันธ์
หลังสร้างผลงานฝากไว้ในความทรงจำของผู้ชมมายาวนานหลายทศวรรษ ยีน แฮกแมนก็ตัดสินใจยุติบทบาทบนจอภาพยนตร์ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดยภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่เขาแสดงนำคือ Welcome to Mooseport (2004) ซึ่งออกฉายในปี 2004 นั่นเป็นผลงานส่งท้ายก่อนที่แฮกแมนจะประกาศเกษียณตัวเองจากวงการภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ
วงการฮอลลีวูดได้มอบรางวัลแห่งเกียรติยศเพื่อสดุดีเขา นั่นคือรางวัล Cecil B. DeMille Award จากเวทีลูกโลกทองคำ ในปี 2003 ซึ่งมอบให้เพื่อยกย่องความสำเร็จและคุณูปการที่เขาสร้างไว้แก่วงการบันเทิงตลอดชีวิตการทำงาน
หลังจากอำลาจอเงิน แฮกแมนเลือกใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักของเขาในรัฐนิวเม็กซิโก ร่วมกับภรรยาคู่ชีวิตที่แต่งงานกันมาตั้งแต่ปี 1991 เขาเบนเข็มความสร้างสรรค์มาสู่เส้นทางใหม่ในฐานะ นักเขียนนวนิยาย ซึ่งน้อยคนนักจะรู้มาก่อนว่าดาราเจ้าบทบาทผู้นี้ก็มีพรสวรรค์ด้านงานเขียนเช่นกันแฮกแมนร่วมมือกับเพื่อนนักสำรวจใต้ทะเลชื่อ แดเนียล เลนิแฮน (Daniel Lenihan) เขียนนวนิยายแนวผจญภัยเชิงประวัติศาสตร์ออกมาสามเล่มในช่วงปี 1999–2008 ได้แก่ Wake of the Perdido Star (1999) ซึ่งเป็นนิยายโจรสลัดในศตวรรษที่ 19, Justice for None (2004) นวนิยายฆาตกรรมในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ และ Escape from Andersonville (2008) เรื่องราวการแหกคุกในยุคสงครามกลางเมืองอเมริกา
จากนั้นเขายังลงมือเขียนนวนิยายเดี่ยวของตนเองออกมาอีกสองเล่ม ได้แก่ Payback at Morning Peak (2011) นิยายคาวบอยล้างแค้น และ Pursuit (2013) นิยายสืบสวนแนวตำรวจตามล่าคนร้าย
ผลงานเขียนเหล่านี้สะท้อนความสามารถรอบด้านของแฮกแมนที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการแสดง แต่ยังครอบคลุมถึงการสร้างสรรค์เรื่องราวผ่านปลายปากกาอีกด้วย
ยีน แฮกแมน ได้จารึกชื่อของเขาไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮอลลีวูดในฐานะนักแสดงมากฝีมือผู้มีชีวิตดุจบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง จากเด็กหนุ่มที่เคยถูกสบประมาทว่าไม่มีทางเอาดีได้ สู่การเป็นดาราผู้คว้ารางวัลออสการ์สองครั้งและฝากผลงานอมตะไว้มากมาย ความสำเร็จของเขาไม่ได้มาโดยง่าย หากแต่ต้องแลกมาด้วยความวิริยะอุตสาหะและหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ แฮกแมนได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะถูกดูถูกเหยียดหยามสักเพียงใด เขาก็ยังยืนหยัดเดินหน้าตามความฝัน กระทั่งประสบความสำเร็จเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

เสียชีวิตปริศนาพร้อมภรรยา
ยีน แฮกแมน ได้ปิดฉากชีวิตลงในวัย 95 ปี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2025 ที่บ้านพักของเขาในเมืองซานตาเฟ รัฐนิวเม็กซิโก พร้อมกับ เบ็ตซี่ อาราคาวะ ภรรยาของเขา วัย 63 ปี และสุนัขคู่ใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจของเทศมณฑลซานตาเฟเป็นผู้พบร่างของทั้งคู่ในช่วงบ่ายวันพุธที่ผ่านมา โดยทางนายอำเภอ อดาน เมนโดซา ได้ออกมายืนยันข่าวการเสียชีวิตนี้ในวันถัดมา พร้อมระบุว่า ไม่พบร่องรอยของการกระทำผิดทางอาญา แต่อย่างใด ขณะนี้ยังไม่เปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
การจากไปของแฮกแมนถือเป็นการปิดฉากชีวิตของหนึ่งในนักแสดงที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวงการภาพยนตร์ ผู้ฝากผลงานอันทรงคุณค่าและแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นหลัง แม้ว่าเขาจะจากไปแล้ว แต่เรื่องราวของเขาจะยังคงโลดแล่นอยู่บนจอเงินและในความทรงจำของผู้ชมตลอดไป
ตลอดชีวิตการทำงานของแฮกแมน เราจะเห็นภาพชายผู้หนึ่งที่ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับศิลปะการแสดง เขาไม่เคยลืมความรู้สึกของการเป็นคนนอกที่ถูกปรามาสในวันวาน และนั่นทำให้เขาให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก ความมีวินัยแบบทหารที่ติดตัวมาตั้งแต่วัยหนุ่มหลอมรวมเข้ากับความคิดสร้างสรรค์แบบศิลปิน ก่อเกิดเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครของยีน แฮกแมน ผลงานบนจอของเขามักสะท้อนความจริงใจ จริงจัง และพลังอารมณ์ที่เข้าถึงใจผู้ชมเสมอ ไม่ว่าจะรับบทวีรบุรุษหรือตัวร้าย คนธรรมดาหรือตำนาน แฮกแมนก็ถ่ายทอดบทเหล่านั้นออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวาและน่าเชื่อถือในทุกครั้งยีน แฮกแมนได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบในปี ค.ศ. 2025 ขณะอายุได้ 95 ปี