ข่าว

สาววีนรอนาน ลูกไอแน่นหน้าอก หมอรักษาเคสฉุกเฉินก่อน ลั่น ฉันใช้สิทธิราชการ

วีนหมด ไม่สนใจเตือน ข้าราชการสาว ลูกไอแน่นหน้าอก ไปนอกเวลาราชการ บ่นให้นั่งรอหลายชั่วโมง ลั่น ใช้สิทธิข้าราชการ

กลายเป็นวิวาทะเดือด หลังหญิงสาวรายหนึ่งได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในกลุ่ม พลเมืองในนครหัวหินครับ (มี Admin ดูแล) พร้อมติดแท็กโรงพยาบาลหัวหิน ตำหนิการทำงานของหมอแผนกฉุกเฉิน ที่ปล่อยให้ตนกับบลูกสาวที่ป่วยมีอาการไอนั่งรอหลายชั่วโมง นอกเวลาราชการว่า “หมอช่วยเหลือผู้ป่วยอาการหนักก่อน เราเข้าใจ แต่จะให้ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักนั่งรอหลายชั่วโมง ก็ไม่สมควรนะ รพ.หัวหิน มีหมอไว้แค่ตรวจคนป่วยอาการหนักแค่นั้นเหรอ”

Advertisements

“ลูกสาว ฉัน วัย 14 ไอแน่นหน้าอก คุณว่าป่วยแบบนี้ ควรได้รับ การรักษา ในวันราชการไหมล่ะ เอาจริงๆนะถ้าลูกสาวฉันเป็นช่วงคลีนิกเปิด รพ.หัวหิน ฉันไม่เข้าแน่นอน ออที่เข้า เพราะรับราชการ เบิกได้นะจ๊ะ”

ใต้โพสต์ดังกล่าวได้มีประชาชนเข้ามาแสดงความเห็นแย้งมากมาย ให้เจ้าของกระทู้เข้าใจว่า โรงพยาบาลรัฐบาลแพทย์มีจำกัด เทียบกับคนไข้ และนอกเวลาราชการ แผนกฉุกเฉิน ถ้าไม่อยากรอให้ไปโรงพยาบาลเอกชนแทน ปรากฎว่าเจ้าของเรื่องได้ตอบคอมเมนต์กลับอย่างเผ็ดร้อนว่า “ตังมาสิ”

Advertisements

พร้อมกันนี้ได้นำสิทธิ์รักษาข้าราชการมาอ้างด้วย จนคนต้องเข้ามาแย้งให้เข้าใจถูกเสียใหม่ว่า

“ราชการไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนนะครับ แค่สิทธิ์ในการเบิกตรง ไม่ด่วนก็รอ ไม่ใช่ราชการแล้วจะมีสิทธิ์ได้ตรวจเร็วตรวจก่อน คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ อยากได้เร็วไปเอกชน แต่ก็แลกกับเงินคุณได้เร็วแน่นอน แค่การประเมินฉุกเฉินยังไม่รู้มาเรียกร้องอะไรไม่ดูระวังทัวร์ลง ห้องเค้าก็บอกอยู่ห้องฉุกเฉิน ไว้รักษาคนใกล้ตาย คุณไม่ด่วนแค่ไข้ไอมันรอได้ครับ ไม่ใช่โรคด่วน ยกเว้นไข้หอบ บางทีใน ER เค้ามีคนไข้ arrest มีคนไข้หอบ คนไข้อุบัติเหตุกี่เคส จะต้องรอ 4 ชม 6 ชม ก็ต้องรอครับถ้าเค้ายังไม่เสร็จแล้วพร้อมจะมาดูเคสคุณ”

เจ้าของโพสต์ก็ยังยืนยันความคิดตัวเองว่า รู้สึกไม่พอใจที่ต้องรอตรวจหลายชั่วโมง “รอได้จร้า แต่จะรอ หลายชั่วโมงก็ไม่ไหวป่ะ เคสฉันผู้ป่วย ก็ไมเยอะนะ ที่ฉานเห็น ก็ไม่กี่คน แต่แปลก ที่ฉันได้คุย ทุกคน บ่นรอนานหลายชั่วโมงมาก แนะนำนะจ๊ะ หมอบอกค่ะ ว่าเคสนี้ มาตรวจ เวลาราชการ กลับบ้านค่ะ ดีกว่าไหม ดีกว่าปล่อยให้รอ แบบนี้”

จากนั้นได้มีผู้เข้ามาแย้งว่า อาการป่วยของลูกสาวไม่ฉุกเฉินก็ต้องรอตามระดับความหนักเบาของอาการ “ไอ ไข้ แน่นหน้าอก=ไม่ฉุกเฉินเข้าใจป่ะคะ ลูกชั้นก็เป็นตอนกลางดึกก็รอตรวจตั้งแต่4ทุ่มถึงตี1 เพราะรพ เค้ามีเคสฉุกเฉินคนไข้หยุดหายใจ stemi stroke fast track ริได้ลูกชั้นก็ไม่ตายนี่คะ เด็กกว่าลูกคุณ3ขวบเอง สิทธิข้าราชการเหมือนกัน หัวใจหยุดเต้นสิคะได้ตรวจแน่นอน พึ่งเคยมีสิทธิ์ข้าราชการหรอคะถึงไม่รู้ว่า ถ้าไม่ฉุกเฉินก็รอตรวจเหมือนสิทธิ์อื่นๆ”

“ลูกดิชั้นสิทธิ์ข้าราชการเหมือนกัน ไอหอบตอนตี2ก็ให้กินยาอยู่ที่บ้านค่ะ รอตอนเช้าค่อยพามาหาหมอ บางทีมีลูกก็ต้องมีความรู้+ความพร้อมด้านกำลังทรัพย์ค่ะ” อีกคนเข้ามาคอมเมนต์

“ถ้าฉุกเฉินต้องรอค่ะ ตอนเราไปรพตำรวจ ตรวจร่างกายทางคดี ไปถึงรพ ตำรวจ 4 ทุ่ม นั่งรอถึงตี 4 ถึงได้เจอหมอค่ะ ตอนแรกไม่คาดคิดว่าต้องรอนานขนาดนี้ แต่ก็เข้าใจได้ค่ะ

คือคุณหมอน่าจะต้องตามเฉพาะทางมา ระหว่างนั้นฉุกเฉิน ก็เคสหนักมาตลอด เช่นไฟไหม้ทั่วตัว ( อันนี้เข็นเข้าห้องไวมาก รักษาทันที ) เราที่ได้เข้าไปห้องฉุกเฉินต่อจากนั้น เห็นคุณพยาบาลหมอ 5-6 คนเลยต้องช่วยพันที่คนๆนี้คนเดียว ซึ่งเราดีใจมากที่พี่เขาได้รับการช่วยเหลือไว เพราะพองทั้งตัว ต้องล็อคผูกกับเตียงเลย น่าจะเจ็บมากค่ะ

คุณหมอน่าจะมีจำกัดด้วย ทุกคนก็อยากให้ไวคิดว่าค่ะ แต่มันเกินความสามารถของคุณหมอในการตรวจให้ครบทุกคนตามจำนวน เราเคยเห็นเคส รพ รัฐที่เชียงราย จิตแพทย์ต้องรับคิว 150 คิว ในการตรวจ คุยกับคนไข้ในแต่ละวัน มันเหนื่อยแทนจริงๆค่ะ

เราคำนวนดู งานของหมอ พยาบาลมันหนักอยู่แล้วค่ะ เพราะ คนมาเยอะกว่ามาก

เข้าเอกชนรพกรุงเทพก็รอนะคะ กลางวัน ลูกเรากระดาษแทงตา แบบเจ็บมาก คุณพยาบาลบอก มีเคสถูกหมากัดมา คุณหมอต้องช่วยเย็บก่อนค่ะ ลูกเราก็เจ็บมาก แต่ก็ต้องรอค่ะ

แต่ประเทศไทยก็ง่ายแล้วค่ะ ถ้าเป็นญี่ปุ่น ถ้าอาการไม่หนัก ไม่มีวันเห็นหน้าหมอค่ะ

เราเข้าใจว่ารอนานจริงๆ แต่ก็เข้าใจ หมอพยาบาลด้วยค่ะ เพื่อตัดทุกปัญหา ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ เข้าแต่เอกชน ทำประกันไว้ค่ะ”

หลักเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความเร่งด่วน ฉุกเฉิน ป่วยหนักต้องรักษาก่อน

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมบางคนที่มาถึงโรงพยาบาลก่อนถึงไม่ได้รับการรักษาก่อน หรือ ทำไมบางคนได้รับการรักษาทันทีโดยไม่ต้องรอคิว ดังเช่นข้าราชการสาวข้างบน คำตอบอยู่ที่ระบบ การคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน (Triage System) ซึ่งเป็นกระบวนการจัดลำดับความสำคัญของผู้ป่วยในแผนกฉุกเฉิน (Emergency Department: ED) ตามระดับความรุนแรงของอาการ เพื่อให้ผู้ที่มีอาการหนักที่สุดได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด

ระดับการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน

โดยทั่วไป ระบบคัดแยกผู้ป่วยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตามความเร่งด่วนในการรักษา ดังนี้:

ระดับ 1 (Critical) – ภาวะฉุกเฉินวิกฤต (ต้องรักษาทันที)

อาการ: ผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤตที่คุกคามชีวิต จำเป็นต้องได้รับการช่วยชีวิตทันที
ระยะเวลาที่ต้องได้รับการรักษา: ทันที (0 นาที)
ตัวอย่างอาการ:

  • หัวใจหยุดเต้น, หยุดหายใจ
  • ภาวะช็อก, ความดันโลหิตต่ำมาก
  • อาการชักต่อเนื่อง (Status Epilepticus)
  • อุบัติเหตุรุนแรงที่เสียเลือดมาก

ระดับ 2 (Emergent) – ภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน (ต้องรักษาภายใน 10-15 นาที)

อาการ: ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว
ระยะเวลาที่ต้องได้รับการรักษา: ภายใน 10-15 นาที
ตัวอย่างอาการ:

  • เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน (สงสัยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด)
  • หายใจลำบากอย่างรุนแรง
  • อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)
  • มีบาดแผลเปิดขนาดใหญ่หรือกระดูกหักแบบเปิด

ระดับ 3 (Urgent) – ภาวะเร่งด่วน (ต้องได้รับการรักษาภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง)

าการ: มีภาวะเร่งด่วนแต่ยังไม่ถึงขั้นคุกคามชีวิตในทันที
ระยะเวลาที่ต้องได้รับการรักษา: ภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง
ตัวอย่างอาการ:

  • ไข้สูงมากในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
  • กระดูกหักแต่ไม่ทะลุออกมานอกผิวหนัง
  • ปวดท้องเฉียบพลัน (เช่น ไส้ติ่งอักเสบ)
  • มีบาดแผลที่ต้องเย็บ

ระดับ 4 (Less Urgent) – ภาวะไม่เร่งด่วน (สามารถรอได้ 1-2 ชั่วโมง)

อาการ: อาการปานกลาง ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตทันที
ระยะเวลาที่ต้องได้รับการรักษา: ภายใน 1-2 ชั่วโมง
ตัวอย่างอาการ:

  • บาดแผลถลอกหรือฟกช้ำ
  • ปวดศีรษะ, ไมเกรน
  • ปวดท้องเล็กน้อย
  • ปวดข้อต่อหรือปวดหลังจากการใช้ร่างกายหนัก

ระดับ 5 (Non-Urgent) – ภาวะไม่ฉุกเฉิน (สามารถรอได้นานกว่า 2 ชั่วโมง)

อาการ: อาการไม่รุนแรง สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก หรือพบแพทย์ทั่วไปได้
ระยะเวลาที่ต้องได้รับการรักษา: อาจต้องรอนานกว่า 2 ชั่วโมง
ตัวอย่างอาการ:

  • ไอ, เป็นหวัด, เจ็บคอ
  • ผื่นคัน, อาการแพ้ที่ไม่รุนแรง
  • อาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดข้อ ปวดหลัง

ดังนั้น แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล ไม่ได้เรียงตามลำดับก่อนหลัง แต่เรียงตามระดับความเร่งด่วนของอาการ เพื่อให้ผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น หากคุณหรือคนรอบตัวต้องเข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉิน ควรเข้าใจระบบนี้และให้ความร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์

การเข้าใจระบบ Triage จะช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดีขึ้น และช่วยให้ระบบสาธารณสุขทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบคัดแยกความฉุกเฉินของผู้ป่วย
ภาพจาก: tcep.or.th

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Aindravudh

นักเขียนประจำ Thaiger มีประสบการณ์เขียนข่าวมากกว่า 5 ปี จบการศึกษาด้านภาษาและประวัติศาสตร์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสนใจ ประเด็นความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมือง เจาะประเด็นข่าวทางสังคม ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบย่อยง่าย อย่างงานเขียนสร้างสรรค์ สั้น กระชับ จับทุกประเด็น หัวข้อที่เชียวชาญคือเรื่องไลฟ์สไตล์ เลขเด็ด หวยรัฐบาลไทย หวยลาว ช่องทางติดต่อ vajara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button