ย้อนตำนาน “ผีภูกระดึง” รายการตีสิบ เรื่องผีน่ากลัวขนหัวลุกที่สุด
ย้อนตำนานความหลอน ตีสิบ เทป “ผีภูกระดึง” กลุ่มนักศึกษามหา’ลัย เจอดีที่ภูกระดึง สุดยอดเรื่องหลอนจากรายการตีสิบ ที่เขย่าขวัญผู้ชมมาแล้วทั่วประเทศ และยังคงถูกพูดถึงจวบวันนี้ แม้จะผ่านมาแล้ว 20 ปี
หลังข่าวใหญ่ที่ทำเอาสะเทือนวงการโทรทัศน์ ตีสิบเดย์ At Ten Day โพสต์ประกาศ วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ ตัดสินใจเกษียณตัวเองจากบทบาทการเป็นพิธีกร หลังโลดแล่นอยู่บนจอแก้วมานานถึง 40 ปี และยุติบทบาทในครั้งนี้ถือเป็นบันทึกหน้าสุดท้ายของรายการ “ตีสิบ” ที่ดำเนินมากว่า 27 ปีด้วยเช่นกัน
เมื่อกล่าวถึงรายการตีสิบ เชื่อว่าทุกคนคงจะนึกถึงภาพของรายการทอล์กโชว์สุดโด่งดังที่อยู่คู่โทรทัศน์ไทยมากว่า 2 ทศวรรษ และนับตั้งแต่ที่รายการตีสิบออกอากาศครั้งแรกในปี 2540 ก็ได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยมมาเสมอ ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้ชมในทุก ๆ เทป โดยหนึ่งในนั้นก็คือ เทปเรื่องเล่าลี้ลับสุดหลอน “กลุ่มนักศึกษา เจอดีที่ภูกระดึง” ออกอากาศเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547
แม้จะผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่จวบจนวันนี้ เทป “ผีภูกระดึง” ก็ยังถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกที่ติดอยู่ในใจใครหลายคน และวันนี้ทีมงานไทยเกอร์จะมาทุกท่านไปย้อนตำนานความหลอนนี้กันอีกครั้ง เรื่องราวจะน่ากลัวแค่ไหน ทำไมถึงได้กลายเป็นเทปรายการตีสิบที่ถูกจดจำมากที่สุด
ตำนาน “กลุ่มนักศึกษา…เจอดีที่ภูกระดึง” เขย่าขวัญคนฟัง
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ‘วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์’ ได้ถ่ายทำเทปพิเศษ ออกอากาศทางช่องยูทูบ 2020 ENTERTAINMENT กล่าวถึงเรื่องหลอน “ผีภูกระดึง” ที่กลับมาได้รับความสนใจบนโลกออนไลน์อีกครั้ง พร้อมพาย้อนฟังตำนานชวนระทึกขวัญนี้อีกครั้ง
ประสบการณ์ลี้ลับนี้เกิดขึ้นกับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ได้ ‘เจอดี’ ที่ภูกระดึง จังหวัดเลย เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่พวกเขานัดกันไปท่องเที่ยวพักแรมที่ภูกระดึง โดยก่อนเดินทางไปเที่ยว คุณยายของรุ่นพี่โตสุดในกลุ่ม ก็ได้เตือนให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ตามประสาผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงลูกหลาน แต่เมื่อเดินทางมาถึงภูกระดึงในตอนเช้า พวกเขาทั้งหลายกลับลืมเลือนสิ่งนั้น
นักศึกษากลุ่มนี้ไปด้วยกันทั้งหมด 10 คน ซึ่งทุกคนต่างไม่เคยมาเที่ยวที่ภูกระดึงมาก่อนเลย โดยหนึ่งในนั้นผู้ร่วมทริปครั้งนั้นก็คือ ‘บอย’ หนุ่มผู้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอาถรรพ์ ทั้งยังเป็นคนโผงผาง พูดจาไม่ค่อยดีตามสไตล์วัยรุ่นห่าม ๆ มีบ้างที่หยาบคาย และท้าทาย และยิ่งห้ามก็เหมือนจะยิ่งยุ
ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงวันแรก บอย ก็พูดจาแบบคะนองปากไปเรื่อย และเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มของพวกเขาหลงป่า หาทางออกไม่เจอเป็นเวลานาน พี่โตสุดของกลุ่มเริ่มไม่สบายใจ จึงไปยกมือไหว้ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้นด้วยความเข้าใจเองว่า จะต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง และหลังจากที่ขอขมาแล้วเดินต่อซักพักเขาก็เห็นไม้สีแดง โดยลักษณะเป็นไม้ปลายงอม้วนเข้าคล้ายกับไม้เท้า
เขาก็คิดเองว่าปลายไม้ชี้บอกทางออก และตัดสินใจเดินตามทางนั้นโดยเก็บเอาไม้ชิ้นนั้นมาด้วย และซักพักพวกเขาก็เดินพ้นออกมาจากป่ามาได้จริง ๆ จากนั้นก็ได้ไปเดินเที่ยวต่อที่ผาหล่มสัก เมื่อถึงผาหล่มสักพวกเขาจึงตัดสินใจนั่งพักผ่อนรอชมพระอาทิตย์ตกดิน ณ บริเวณนั้น
ขณะเดียวกันก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ อีกมากมายที่มานั่งรอชมภาพพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน และด้วยความคึกคะนองของบอย เขาได้ตะโกนด้วยประโยคที่ไม่ไพเราะนัก หวังต้องการฟังเสียงสะท้อนกลับมา ในตอนนั้นบอยก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมาที่เขาอย่างเคือง ๆ เขาเข้าใจว่าเป็นวัยรุ่นกลุ่มอื่นๆบริเวณนั้น จึงได้ถามเพื่อน ๆ ว่า มีกลุ่มอื่นมองเขาหรือไม่ ซึ่งเพื่อน ๆ ต่างก็ปฏิเสธ
หลังชมพระอาทิตย์ตกเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ใช้เส้นทางเรียบผากลับที่ทำการฯ ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่มีใครเตรียมไฟฉายไปด้วย และไม่เคยมาจึงพยายามเดินเป็นกลุ่มตรงกลางเพื่อหวังจะอาศัยแสงไฟ และเดินตามกลุ่มอื่น ๆ แต่เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ แสงไฟจากนักท่องเที่ยวกลุ่มหน้าค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที พวกเขาก็เร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน ปรากฎว่าตามไม่ทันแสงจากกลุ่มหน้าหายไปแล้ว
เมื่อหันไปด้านหลังก็ไม่เห็นกลุ่มอื่น ๆ ที่ตามมาเช่นกัน เหลือกลุ่มพวกเขา จึงตัดสินใจรีบเดินให้เร็วขึ้น หลังเดินจนมาถึงร้านค้าระหว่างทางจึงถามทางกลับ และขอซื้อเทียน แต่ได้มาเพียงแค่ 2 เล่ม เพราะที่ร้านเหลือแค่นั้น และที่ร้านค้าก็แนะนำให้เดินทางลัดเพราะเห็นว่าดึกแล้ว ซึ่งคาดว่าเป็นเส้นทางผานาน้อย – องค์พุทธเมตตา
ตอนแรกพวกเขาเดินเรียงหน้ากระดาน 4 คน พอเมื่อเดินต่อเรื่อย ๆ ทางเดินก็เริ่มแคบลง ๆ จนพวกเขาต้องเดินเรียงเดี่ยว โดยให้คนแรกถือเทียน 1 เล่ม และคนสุดท้ายถืออีก 1 เล่ม บอยเป็นคนที่อยู่รั้งท้ายสุด ตลอดทางพวกเขาจะนับ 1 ถึง 10 เป็นระยะ ๆ เพราะทางมืดมาก หากใครหายไปก็จะได้รู้ เส้นทางค่อย ๆ ลาดต่ำลงหญ้าสองข้างทางสูงเกือบจะท่วมหัวหมอกก็ลอยต่ำเรียดพื้น มองไปข้างหน้าเห็นเพียงท้องฟ้าที่มืดมิด มองต่ำกว่ายอดไม้เห็นเพียงสีดำสนิท ระยะการมองเห็นเพียงรัศมีแสงเทียน
ในระหว่างที่เดินอยู่ ทุกคนรู้สึกมีสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้นตลอด บ้างรู้สึกเหมือนมีคนวิ่งเอามือระต้นหญ้าข้างทางผ่านพวกเขาไป แต่ไม่มีใครกล้าทัก พอเดิน ๆ ไปเพื่อนที่เดินอยู่หน้าบอย กระซิบว่าเห็นคน บอยก็ตบหัวเพื่อนพร้อมบอกว่า คนที่ไหนไม่เห็นมีเลย ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ คนเห็นเป็นคนผิวคล้ำตัวใหญ่มาก ๆ นั่งยอง ๆ กอดเข่ามองพวกเขาอยู่ข้างทาง ห่างออกไปไม่ไกลมาก ระยะเพียงพ้นแสงเทียน
เมื่อเดินไปได้ซักพัก บอยรู้สึกเหมือนมีคนมาหายใจรดต้นคอ และรู้สึกแน่นที่หน้าอกมาก ๆ พวกเขาเดินไปถึงทาง 3 แพร่ง ปรึกษากันว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาดี และเริ่มนับเพื่อให้ตรวจสอบเพื่อนว่า ครบหรือเปล่า นับได้ 9 แล้วเงียบไป ไม่มีเสียงขานของบอย
ตอนแรกก็นึกว่าบอยแกล้ง แต่พอมองหาไม่เจอ พวกเขาส่วนหนึ่งจึงรีบวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิม และพบว่า บอยนอนอยู่ข้างทางในลักษณะที่ตั้งแต่ส่วนเอวลงไปอยู่ในป่า ส่วนท่อนบนอยู่บนทางเดิน เหมือนมีคนกำลัง ลากโดยดึงขาเขาเข้าไปในป่า ทางเพื่อน ๆ ก็ช่วยกันดึงไว้ และร้องเรียกพวกที่เหลือ พวกที่ตามมาก็วิ่งเตะรากไม้ได้แผลไปคนนึง
ตอนนั้นบอยมีอาการกระตุก ตาเหลือก ตัวแข็ง พวกเพื่อน ๆ ก็ตกใจ ช่วยกันบีบนวด แขน-ขา เขาต่างก็รู้สึกว่าตัวบอยแข็งมาก แข็งไปทั้งตัวเลย บีบไม่ลงไม่ยุบเลย พวกเขาจึงพยายามหามบอยโดยคนหนึ่งซ้อนใต้แขนทั้งสอง อีกคนยกขาและเดินไป ตอนแรกยกไม่ขึ้นรู้สึกหนักมาก พอยกขึ้นและในระหว่างที่เดิน คนที่อยู่หน้าสุด ร้องว่าเห็นงูอยู่ข้างหน้า ทุกคนเห็นเป็นงูเหมือนกันหมด 9 คนยกเว้น บอย ที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว
จู่ ๆ จากงูก็กลายเป็นกิ่งไม้ไปต่อหน้าพวกเขา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าเห็นว่าเป็นงูจริง ๆ ในขณะที่คนที่หามบอย 2 คนเริ่มไม่ใหวแล้ว ทั้งที่บอยตัวนิดเดียว คนหามทั้งสองคนตัวใหญ่กว่าเยอะ ต้องให้เพื่อนมาช่วยกันหามอีกคน เขาบอกว่า บอยตัวหนักขึ้น ครับหาม 3 คนก็ไม่ไหวบอยก็หล่นลงมา มีอาการชักอย่างน่ากลัว ตาก็เหลือกด้วย
ในขณะนั้นเองเพื่อนอีกคน ก็เห็นแสงไฟ เคลื่อนเข้ามาและปรากฎว่าเป็นแสงไฟจากรถมอร์เตอไซต์ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่ได้ยินเสียงรถเลย คนขับเป็นชายใส่ชุดทหารพราน สวมโม่ง พวกเขาก็บอกว่ามีคนเจ็บให้ช่วยหน่อย คนที่ขับรถจึงบอกให้เอาคนเจ็บขึ้นรถมา และให้คนขึ้นรถมาอีกคนคอยจับคนที่เจ็บไม่ให้ร่วง รุ่นพี่คนเดิมก็เลยขึ้นไปประคองบอย และได้เอาไม้สีแดงที่เก็บมาด้วยให้รุ่นน้องอีกคนถือไว้ ชายขับมอร์เตอไซต์ ได้แนะนำให้พวกที่เหลือเดินเลี้ยวขวาที่ทางแยกข้างหน้าเพื่อกลับที่ทำการฯ จะถึงเร็วกว่า
ด้านรุ่นพี่คนที่นั่งซ้อยรถไปด้วยก็เล่าว่า เมื่อถึงทางแยกมอร์เตอไซค์กลับเลี้ยวซ้ายบอกว่าทางสะดวกกว่า และรุ่นพี่ได้เล่าให้คนที่ขับรถไปว่าเขามาเที่ยวกันแล้วเพื่อนก็เป็นอะไรไม่รู้ ทันใดนั้นคนที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะขึ้นโดยมีน้ำเสียงเปลี่ยนไป จากเดิมเสียงใหญ่มาก และเป็นการพูดยาน ๆ ว่า มันไม่เป็นอะไรหรอก
ตอนนั้นเขากลัวมาก ๆ แต่ก็ขับมาส่งจนถึงบริเวณสะพานไม้หลังที่ทำการฯ เจ้าหน้าที่ที่ขับรถก็บอกให้ประคองบอยไปห้องพยาบาล ซึ่งตอนนั้นตัวบอยไม่หนักเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อถึงห้องพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่พยาบาลก็ให้กินยาและนอนพักก่อน ส่วนตัวรุ่นพี่ก็เดินไปซื้ออาหารอุ่น ๆ ที่ร้านค้ามาไว้ให้บอยกิน
พอกลับมาถึงบอยก็ฟื้นแล้วแต่ยังงง ๆ อยู่ มาพูดถึงเพื่อนอีก 8 คนที่เดินกลับ ตอนนั้นเทียนดับไปแล้ว พวกเขาก็อาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือ ตลอดเวลาที่พวกเขาเดินไปเหมือนมีคนตามมาตลอด และเพื่อนคนนึงโดนพลักตกหลุมถึง 2 ครั้ง โดยเพื่อนทุกคนยืนยันว่าไม่มีใครแกล้ง
แล้วพวกเขาก็เห็นแสงไฟข้างหน้าเป็นแสงไฟตามบ้านอะไรประมาณนี้พวกเขาก็รีบเดิน แต่ยิ่งเดินยิ่งไกล และแล้วแสงไฟก็หายไป แต่พวกเขาก็ยังเดินต่อไป แต่ก็วนมาที่เดิมตลอด ทุกคนเริ่มกลัว เริ่มลนกันหมด แล้วก็มีคนยกมืออธิฐานกับไม้ บนบานเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขาขอให้ถึงที่พักซักที แล้วไม่นานเพื่อนคนหนึ่งก็แหวกหญ้าที่สูงท่วมหัวข้างทางออกมาเจอแสงไฟจากที่ทำการฯ ทั้งที่ไม่ไกลพวกเขาก็หลงอยู่เป็นนาน
พวกเขาก็พบกับเจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดทหาร สวมโม่ง 2 คนส่องไฟมาทางเขา แล้วบอกว่า เจอพวกมันแล้ว ตอนแรกเขานึกว่าเพื่อนเขาที่มากับรถ บอกให้คนออกมาตามหาพวกเขา แต่ไม่ใช่และทหาร 2 คนก็เดินหายไปใหนไม่รู้ แล้วพวกเขาก็มาถึงหลังที่ทำการ เขามาถึงที่พักกันแล้ว และพวกเขาก็ได้จุดธูปขอขมาเจ้าที่เจ้าทางพอปักธูป
ระหว่างที่กำลังเดินกลับ บอยก็ออกมาพอดี โดยที่ไม่มีอาการใด ๆ เลย มาตอนเช้าบอยเล่าหลังจากได้สติว่า ตอนที่ล้มลงนั้นยังรู้สึกตัว เห็นว่ามีคนตัวใหญ่หน้าตาโกรธมากมาทำให้ล้มและกดหน้าอกเอาไว้ตอนที่เพื่อน ๆ พยายามแบกตัวเขาขึ้นมา พวกเขาได้ตามถามหาเจ้าหน้าที่ที่มาส่งบอยเพื่อจะขอบคุณ แต่ปรากฏว่าไม่มี และพวกเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ไม่มีใครใส่ชุดเต็มยศขนาดนั้น
ส่วนแม่ค้าเมื่อได้ยินเรื่องก็ให้ความเห็นว่าเป็นผู้ช่วยองค์พุทธเมตตา ที่ออกมาให้ความช่วยเหลือผู้คนบ่อย ๆ เมื่อพวกเขาได้เดินกลับไปดูเส้นทางที่เดินมาเมื่อคืน พบว่าต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่เห็นเมื่อคืนไม่มีเลย มีเพียงหญ้าเตี้ย ๆ สูงไม่ถึงเข่า มีหลักฐานว่าเป็นเส้นทางเดิมคือร่องรอยพลาสเตอร์ ที่เขาใช้กันหล่นอยู่ข้างทาง ทิศที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาก็ไม่มีทาง เป็นทุ่งหญ้าและทางสามแยกก็ใช้ได้เพียงด้านขวา เพราะด้านซ้ายที่รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวมาเป็นเส้นทางขาด น้ำเซาะทางเป็นร่องลึกใช้ไม่ได้ จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์หลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมกัน
ก่อนลงจากภูกระดึง พี่ใหญ่รู้สึกขอบคุณไม้เท้า และได้เอาไปพิงไว้หลังต้นสนใหญ่ที่สุดบริเวณกางเต้นท์ เมื่อพวกเขากลับลงมาถึงตีนภูกระดึง ก็ได้แวะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อภูกระดึง ปรากฎว่าในศาล มีไม้เท้าสีแดงอยู่ โดยลักษณะไม้เท้าเหมือนกับไม้ที่พวกเขาใช้เมื่ออยู่บนภูฯ ทุกคนจึงคิดว่าเจ้าพ่อฯ ได้ไปช่วยพวกเขาไว้
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่ของบอยได้ออกมาเปิดประตูให้ พร้อมกับทักว่า เอาใครมาด้วยหน้าบ้าน ตัวใหญ่ตาแดงเชียว ซึ่งบอยไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง เพราะกลัวโดนดุ แต่ได้เล่าให้พี่สาวฟัง ซึ่งพี่สาวก็ได้เล่าต่อให้แม่ฟังในที่สุด จากนั้นแม่จึงเล่าถึงความฝันที่เกิดขึ้นในช่วงที่บอยไปเที่ยวภูกระดึงว่า ฝันเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งมาเหมือนมือกำลังไล่ต้อนเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่
แม่บอยพูดในความฝันว่า อย่าไปทำเลยสงสารเด็กมัน ซึ่งในฝันก็ไม่ได้เห็นเป็นบอย แต่เห็นเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น และในขณะที่แม่บอยนั่งคุยกับพี่สาวอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแว่วขึ้นมาว่า “ให้พวกมันไปขอขมากู” จากนั้นแม่จึงได้พาบอยไปทำสังฆทาน และอาบน้ำมนต์
สำหรับเรื่องราวความหลอนในเทปพิเศษก็มีเพียงเท่านี้ เหตุเพราะเทปดังกล่าวได้ออกอากาศตั้งแต่ปี 2547 เมื่อพยายามเปิดเทปบันทึกรายการเพื่อนำมาเผยแพร่อีกครั้ง กลับไม่สามารถเปิดได้ ทำให้ทางรายการต้องเล่าเรื่องราวสุดสยองขวัญนี้ใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ผู้อ่านทุกท่านสามารถเข้าไปรับชมคลิปรายการฉบับเต็มได้ทางช่องยูทูบ 2020 ENTERTAINMENT ในคลิปที่มีชื่อว่า “คนทักมาถามเยอะมากกับเทปผีภูกระดึงตีสิบ “กลุ่มนักศึกษา…เจอดีที่ภูกระดึง” ในโลกออนไลน์กำลังพูดถึง”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง