ผลไม้ 5 ชนิด ห้ามกินตอนท้องว่าง เสี่ยงกระเพาะพัง เหมือนยัดหินลงท้อง
เตือนอันตราย ผลไม้ 5 ชนิด ห้ามกินตอนท้องว่าง ไม่ได้ประโยนช์แถมทำลายกระเพาะ มีอะไรบ้างเช็กด่วน ป้องกันอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ผลไม้ถือเป็นทางเลือกที่ดี แต่ไม่ทุกชนิดจะเหมาะสมกับการบริโภคตอนท้องว่าง เนื่องจากมีผลไม้บางชนิดที่อาจดูเหมือนมีประโยชน์ แต่ถ้ากินขณะท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องหรือกระทั่งทำลายกระเพาะอาหารอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณ เราขอแนะนำให้รู้จักกับ 5 ผลไม้ต้องห้าม ที่ควรงดกินในขณะท้องว่าง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อร่างกายของคุณในอนาคต
1.กล้วยหอม
กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงาน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม การกินกล้วยหอมตอนท้องว่างเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
เนื่องจากกล้วยหอมมีแมกนีเซียมสูง การกินกล้วยหอมขณะท้องว่างจะทำให้ระดับแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะแร่ธาตุในร่างกายไม่สมดุล ส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ กล้วยหอมยังมีน้ำตาลสูง กระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรด ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก แน่นท้อง ย่อยยาก และในระยะยาวอาจนำไปสู่แผลในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้น ควรกินกล้วยหอมหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง หรือกินร่วมกับอาหารชนิดอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร
กล้วยหอม ให้พลังงานประมาณ 89 แคลอรีต่อ 100 กรัม ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ดี เนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะน้ำตาลธรรมชาติ ทำให้กล้วยหอมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเพิ่มพลังงานในระยะสั้น แต่ทั้งนี้ปริมาณแคลอรี่อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับขนาดและความสุกของกล้วยหอม
นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียมและวิตามิน B6 ที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย
2.ลูกพลับ
ลูกพลับเป็นผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบ เพราะรสชาติหวานหอมอร่อย แต่รู้หรือไม่ว่า ลูกพลับมีสารแทนนินและเพคตินสูง เมื่อกินลูกพลับตอนท้องว่าง สารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหาร ก่อตัวเป็นตะกอนแข็ง ๆ เหมือน “ก้อนหิน” ในกระเพาะอาหาร
ภาวะนี้อาจนำไปสู่อาการกระเพาะอาหารอุดตัน ทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดการอุดตันรุนแรง ผู้ป่วยอาจต้องผ่าตัดเพื่อนำก้อนหินในกระเพาะอาหารออก และเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
ลูกพลับ ให้พลังงานประมาณ 81 แคลอรีต่อ 100 กรัม โดยมีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 22 กรัม ซึ่งรวมถึงน้ำตาลธรรมชาติและเส้นใยอาหาร
นอกจากนี้ ลูกพลับยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามิน A, C, และโพแทสเซียม ทำให้เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
3.ผลไม้ตระกูลส้ม
ส้ม เป็นแหล่งวิตามินซีชั้นดี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่การกินส้มตอนท้องว่าง กลับทำให้กระเพาะอาหาร “รับภาระหนัก” จากกรด เนื่องจากส้มมีกรดซิตริกและกรดแอสคอร์บิกสูง เมื่อกินตอนท้องว่าง กรดเหล่านี้จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก ปวดท้อง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
ผู้ที่มีปัญหาโรคกระเพาะ ควรงดกินส้มตอนท้องว่าง เพราะกรดในส้มจะทำให้แผลในกระเพาะมีอาการแย่ลง ทำให้รู้สึกแสบร้อน และปวดท้องมากขึ้น ดังนั้น ควรกินส้มหลังอาหาร 1-2 ชั่วโมง ดื่มน้ำส้มคั้นที่ผสมน้ำเปล่า และจำกัดปริมาณการกินส้มในช่วงเย็น
ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้ม (orange), เกรปฟรุต (grapefruit), และมะนาว (lemon) มีพลังงานแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วผลไม้ตระกูลส้มจะมีพลังงานต่ำมาก
– ส้ม ให้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 47 แคลอรีต่อ 100 กรัม
– เกรปฟรุต ให้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 42 แคลอรีต่อ 100 กรัม
– มะนาว ให้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 29 แคลอรีต่อ 100 กรัม
นอกจากนี้ผลไม้ตระกูลส้มยังมีวิตามิน C สูงและเส้นใยอาหาร ซึ่งดีต่อสุขภาพและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันค่ะ
4.สับปะรด
สับปะรดมีเอนไซม์บรอมีเลน ซึ่งมีฤทธิ์ในการย่อยโปรตีน การกินสับปะรดตอนท้องว่าง จะทำให้เอนไซม์นี้ “กัดกร่อน” เยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นแผล และนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก ท้องเสีย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ
เพื่อลดผลกระทบที่เป็นอันตราย ควรกินสับปะรดหลังมื้ออาหารประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่ออาหารถูกย่อยไปบางส่วนแล้ว ควรหั่นสับปะรดเป็นชิ้นเล็กๆ ตัดส่วนแกนแข็ง ๆ ออก และแช่ในน้ำเกลืออ่อนๆ ก่อนรับประทาน เพื่อลดปริมาณเอนไซม์บรอมีเลน หากต้องการวิตามินซี สามารถเลือกกินผลไม้ชนิดอื่น ๆ แทน เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี แต่ก็ควรกินหลังอาหารเช่นกัน
สับปะรด ให้พลังงานประมาณ 50 แคลอรีต่อ 100 กรัม นอกจากนี้ สับปะรดยังเป็นแหล่งของวิตามิน C และเอนไซม์โบรมีเลน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันด้วยค่ะ
5.ลิ้นจี่
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า การกินลิ้นจี่ตอนท้องว่าง อาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อร่างกาย เนื่องจากลิ้นจี่มีน้ำตาลสูง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย หรือแม้กระทั่งเป็นลมหมดสติ
นอกจากนี้ น้ำตาลในลิ้นจี่จะถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็วในขณะท้องว่าง ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง และรู้สึกไม่สบาย ดังนั้น ควรกินลิ้นจี่หลังมื้ออาหาร เมื่อมีอาหารอยู่ในกระเพาะแล้ว
ลิ้นจี่ ให้พลังงานประมาณ 66 แคลอรีต่อ 100 กรัม นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน C, วิตามิน B6, โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย
อ้างอิง: soha.vn
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง