ดังระเบิด ‘หมูเด้ง’ ขึ้นปกนิตยสารสารคดีระดับโลก ‘เนชันแนล จีโอกราฟฟิก’
ปังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ‘หมูเด้ง’ จากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้ขึ้นปกนิตยสารสารคดีระดับโลก ‘เนชันแนล จีโอกราฟฟิก’ ยกเป็นตัวแทนฮิปโปแคระทั่วโลก ในการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับสัตว์สายพันธุ์นี้
นับวันยิ่งทวีคูณความโด่งดังขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ หมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ วัย 2 เดือน จากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ประเทศไทย ที่ขณะนี้ได้สร้างกระแสความโด่งดังไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ถึงขนาดที่ว่าสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่าง ‘บาเยิร์น มิวนิค’ ยังโพสต์ภาพมีมของเจ้าฮิปโปน้อยตัวนี้ และนั่นยังไม่รวมที่นิตยสาร TIME กล่าวยกให้หมูเด้งเป็นไอคอนแห่งยุค
ล่าสุด (19 กันยายน 2567) กระแสฟีเวอร์ยังไปไกลได้มากกว่านั้น เมื่อภาพของ ‘หมูเด้ง’ ดาวดวงใหม่ของประเทศไทย ได้ปรากฏเด่นหราอยู่บนเพจเฟซบุ๊ก National Geographic เนชันแนล จีโอกราฟฟิก นิตยสารแนวสารคดีชื่อดังระดับโลกที่มีผู้ติดตามกว่า 50 ล้านคน พร้อมกับแนบข้อความไว้ด้วยว่า
“หมูเด้ง ฮิปโปแคระสีชมพูอมม่วง เกิดที่สวนสัตว์ในไทยเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ได้กลายเป็นดาวเด่นบนโลกอินเทอร์เน็ตไปแล้ว โดยชื่อของเธอแปลว่า “หมูน้อยเด้งดึ๋ง”
ไม่เพียงเท่านั้น ทาง ‘เนชันแนล จีโอกราฟฟิก’ ยังได้เชิญชวนผู้คนทั่วโลกเข้าไปอ่านบทความที่จะพาทุกคนไปรู้ลึกถึงเรื่องราวชีวิตของฮิปโปแคระ โดยใช้เจ้าหมูเด้งของชาวไทยเพราะเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดองค์ความรู้นี้ โดยเนื้อหาของบทความจะเน้นไปที่การให้ไขสงสัยเกี่ยวกับความเป็น ‘ฮิปโปแคระ’ และความแตกต่างของสายพันธุ์นี้กับฮิปโปเตมัสทั่วไป
“หมูเด้ง” ฮิปโปแคระสีชมพูอมม่วง ต่างจากฮิปโปธรรมดาอย่างไร?
ฮิปโปแคระ (Choeropsis liberiensis) เป็นหนึ่งในสองสายพันธุ์ของฮิปโปที่มีชีวิตอยู่ โดยอีกสายพันธุ์อย่าง ‘ฮิปโปโปเตมัสธรรมดา (Hippopotamus amphibius)’ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางกว่า และถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะมีรูปร่างและสีที่คล้ายคลึงกัน แต่เมื่อนำฮิปโปทั้งสองสายพันธุ์มาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้อย่างชัดเจนทันทีว่าพวกมันแตกต่างกันแค่ไหน
“ขนาดคือความแตกต่างหลัก ฮิปโปแคระมีขนาดเล็กกว่าฮิปโปธรรมดา 10 เท่า” คาเรน แวคโก้ (Karen Vacco) ผู้ช่วยภัณฑารักษ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่สวนสัตว์และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำพิตส์เบิร์ก กล่าวเช่นนั้น
เมื่อโตเต็มวัย ฮิปโปแคระสามารถมีน้ำหนักได้ถึง 600 ปอนด์ ซึ่งอาจฟังดูเยอะ จนกระทั่งคุณได้รู้ว่าฮิปโปธรรมดา ซึ่งเป็นญาติของมัน บางครั้งมีน้ำหนักมากถึง 4.5 ตัน หรือ 9,000 ปอนด์
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้งสองสายพันธุ์นี้แตกต่างกัน โดยได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการ อันดับแรกความเหมือนและความแตกต่าง ขนาดของทั้งฮิปโปและฮิปโปแคระนั้นค่อนข้างน่าประทับใจเมื่อคุณพิจารณาว่าแต่ละสายพันธุ์ส่วนใหญ่กินพืชเป็นอาหาร โดยฮิปโปแคระกินหญ้าและพืชน้ำเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม หมเด้งและฮิปโปแคระอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในสวนสัตว์ส่วนใหญ่กินผักใบเขียว ผัก และสิ่งที่เรียกว่า “บิสกิตสัตว์กินพืช” ซึ่งจะให้สารอาหารเพิ่มเติม
ขอบเขตทางภูมิศาสตร์เป็นอีกความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสายพันธุ์ฮิปโป ฮิปโปธรรมดาสามารถพบได้ทั่วไปในแอฟริกากลางและแอฟริกาตอนใต้ รวมถึงดินแดนเล็ก ๆ ที่ติดตามแม่น้ำไนล์ไปทางเหนือสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ในขณะเดียวกัน ฮิปโปแคระมีถิ่นกำเนิดในป่าและหนองน้ำของแอฟริกาตะวันตก ซึ่งพวกมันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามลำพัง ซึ่งแวคโก้กล่าวว่า นี่เป็นอีกหนึ่งความแตกต่างจากฮิปโปธรรมดาที่มักจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงราว ๆ 40 ตัวหรือมากถึง 200 ตัว
สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองสายพันธุ์มีเหมือนกัน และเป็นสิ่งที่คุณควรระวังเมื่อไปเยี่ยมพวกมันที่สวนสัตว์ก็คือ “ฮิปโปจะแพร่มูลของมันเหมือนสปริงเกอร์โดยการแกว่งหางไปมา”
สำหรับวิวัฒนาการของสายพันธุ์ฮิปโป ด้านนักวิทยาศาสตร์เองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ทั้งสองสายพันธุ์มีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดเพียงใด ดังนั้นในปี 2023 พวกเขาจึงตัดสินใจใช้ข้อมูลโมเลกุลเพื่อตรวจสอบฮิปโปที่ยังมีชีวิตอยู่ของสายพันธุ์เหล่านี้ และสิ่งที่พวกเขาค้นพบนั้นค่อนข้างน่าประหลาดใจ
“การศึกษาของเราพบว่าพวกมันแยกสายวิวัฒนาการเมื่อประมาณสี่ล้านปีก่อน ซึ่งเร็วกว่าที่เคยคิดไว้” แจน เจเนคก้า (Jan Janecka) นักพันธุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง กล่าวเช่นนั้น และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น นี่หมายความว่าฮิปโปแคระและฮิปโปธรรมดาแยกสายวิวัฒนาการออกจากกันประมาณหนึ่งถึงสองล้านปีก่อนมนุษย์และลิงชิมแปนซี หรือสิงโตและเสือ หรือประมาณช่วงเวลาเดียวกับที่หมีดำอเมริกันและหมีสีน้ำตาลแยกสายพันธุ์
แม้ว่าจะไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่ตัวเธอเองและผู้เขียนร่วมของเขาคิดว่า สายพันธุ์ฮิปโปอาจมีเส้นทางวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน เนื่องจากฮิปโปแคระมีขนาดเล็กลงและปรับตัวให้เข้ากับชีวิตบนบกมากขึ้น
ในทางกลับกัน ฮิปโปธรรมดาอาจได้รับอนุญาตให้เติบโตได้ใหญ่ขึ้นเพราะพวกมันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ ซึ่งช่วยรองรับน้ำหนักที่มากของพวกมันได้ และข้อสันนิษฐานนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างมาก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง