ข่าวกีฬาพรีเมียร์ลีกฟุตบอล

ศาลสั่งแบน “แรชฟอร์ด” ห้ามขับรถ หลังโดนรวบ เหยียบมิดไมล์ 170 กม./ชม.

มีรายงานว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวยิงสายมุ่งของ แมนยู ถูกศาลสั่ง ห้ามขับรถ หลังกระทำความผิดฐานขับรถเร็วเกินกำหนด

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคม ปี 2023 แรชฟอร์ด ถูกตำรวจควบคุมตัว พร้อมกับรถคู่ใจ โรลส์-รอยซ์ คัลลิแนน บลู ชาโดว์ บนมอเตอร์เวย์ M60 หลังจากที่เจ้าตัวขับรถเร็วกำหนด ซึ่งกองหน้ารายนี้ขับรถผ่านรถตำรวจนอกเครื่องแบบด้วยความเร็วสูงถึง 104 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 170.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

คำแถลงของเจ้าหน้าที่ที่จับกุม แรชฟอร์ด ได้กล่าวว่าสตาร์ดังของทัพปีศาตแดงเชื่อว่า เขาถูกรถสีขาวขับตามมา โดยปีกวัย 26 ปี ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าเขาควรติดต่อหน่วยฉุกเฉิน

ล่าสุด แรชฟอร์ด ได้ปรากฎตัวที่ศาลพิจารณาซัลฟอร์ด ผ่านวิดีโอคอลไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งศาลตัดสินใจดาวยิงรายนี้ ห้ามขีบขี่ยานพาหนะ พร้อมกับถูกสั่งปรับเงิน 1,666 ปอนด์ หรือราวๆ 78,000 บาท และได้รับคำสั่งให้จ่ายเงินเพิ่มแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบอีก 666 ปอนด์ หรือ 31,000 บาท รวมถึงค่าที่ต้องไปศาลอีก 120 ปอนด์ หรือ 5,600 บาท

“แรชฟอร์ด บอกว่าเหตุผลที่เขาต้องเร่งความเร็ว เป็นเพราะเขาถูกรถสีขาวขับตามมา และถามว่าผมเห็นไฟคันนั้นรึเปล่า” คำให้การของเจ้าหน้าที่ ทีควมคุมตัว แรชฟอร์ด

“เขายังบอกอีกด้วยว่าเขาคิดว่าผมคือรถสีขาวที่ขับตามเขามา”

“ผมบอกว่าไม่มี และจะตรวจสอบวิดีโอเพื่อหารถคนดังกล่าว ผมยังบอกให้เขาต้องโทร 999 ถ้าเขารู้สึกว่ามีคนติดตาม เขาบอกว่ามันเกิดขึ้นตลอดเวลา และเขาจะโทรหาเราทุกวัน จากนั้นผมก็บอกให้เชขาขับช้าลง และเขาก็เดินไปในขณะที่ผมตรวจสอบวิดีโอ”

“ในการตรวจสอบภากตั้งแต่ช่วงที่เขาแซงผมขึ้นไปจนหยุดเขาที่ถนน เอเด็น ปาร์ค ผมไม่เห็นหลักฐานว่ามีรถสีขาวติดตามเขาเลย ผมยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าเมื่อรู้ว่าเขาภูกติดตาม เขาก็ชะลอความเร็วลง และความเร็วของเขาอยู่ในระดับ 5 ไมล์ต่อชั่วโมงของขีดจำกัดความเร็ว”

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Bas

ผู้สื่อข่าวกีฬา จบการศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีประสบการณ์เขียนข่าวกีฬากับ SMMSport กว่า 10 ปี เริ่มทำงานกับ Thaiger เมื่อ 2021 ชอบและติดตามกีฬามาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะฟุตบอลทั้งบอลไทย และต่างประเทศ 5 ลีกดังของโลก พร้อมอัปเดตข่าวสารวงการฟุตบอล แบบเข้าใจง่าย ให้เพื่อนๆและแฟนบอลได้ติดตามกันทุกวัน ช่องทางติดต่อ saral@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button