เช็กเงื่อนไข ร้านค้าเข้าเกณฑ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท ต้องลงทะเบียนเมื่อไหร่ ถอนเงินสดยังไงบ้าง
เปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับแนวทางการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยจะเริ่มให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 ก่อนเริ่มแจกเงินเข้ากระเป๋าจริงในไตรมาสที่ 4 พร้อมเผยเงื่อนไขร้านค้าที่เข้าเกณฑ์ลงทะเบียน ต้องทำยังไง และถอนเงินได้อย่างไรบ้าง เช็กพร้อมกันที่นี่
เมื่อวานนี้ (10 เม.ย. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในการแถลงข่าวเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยระบุว่า
ร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท และประสงค์ลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 จะต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษี ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) , ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT)
ส่วนวิธีการถอนเงินสดจากโครงการเงินดิจิทัล ร้านค้าจะไม่สามารถถอนได้ทันทีหลังจากการใช้จ่าย ต้องรอรอบที่ 2 เพื่อลดความเสี่ยงการทุจริตในโครงการ กล่าวคือ เมื่อลูกค้านำเงินมาใช้จ่ายในร้าน ร้านจะต้องนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าอื่นอีกทอด เพื่อซื้อสินค้าทุน ทำให้ครบ 2 รอบการหมุนเวียนเงิน ตามแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงจะสามารถถอนเงินสดออกมาได้
เงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัลในร้านค้า
สำหรับหลักการใช้จ่ายในร้านค้าที่ร่วมโครงการ ได้มีการระบุไว้หลัก ๆ ทั้งหมด 2 อย่าง ดังนี้
- ระดับประชาชน-ร้านค้า : ต้องใช้จ่ายในระดับอำเภอ ผ่านร้านค้าขนาดเล็กที่เป็นไปตามข้อกำหนดของกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งหมด 878 อำเภอ
- ระดับร้านค้า-ร้านค้า : ไม่มีเงื่อนไขเชิงพื้นที่และขนาดของร้าน ซึ่งสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ
ทั้งนี้เงินดิจิทัลจะถูกใช้งานผ่าน “Super App” ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่โดยรัฐบาล และจะมีการพัฒนาเชื่อมโยงไปยังแอปพลิเคชั่นของธนาคารต่าง ๆ ในรูปแบบ open loop ด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สินค้าที่ห้ามซื้อด้วยเงินดิจิทัล 10,000 บาท
การใช้จ่ายเงินดิจิทัล สามารถซื้อสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคได้หลายอย่าง ตราบใดที่ไม่ใช่สินค้าต้องห้ามตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ อาทิ
- อบายมุข
- น้ำมัน
- บริการ
- สินค้าในเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์
- บัตรกำนัล ทองคำ เพชร อัญมณี เครื่องประดับ
สำหรับเงินดิจิทัล 10,000 บาทนี้ จะถูกเติมเข้ากระเป๋าให้กับประชาชนชาวไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป และมีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท ตลอดจนมีรายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท ซึ่งท่านจะสามารถลงทะเบียนรับสิทธิได้ในไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) ก่อนจะได้รับเงินเต็มจำนวนในไตรมาสที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม).
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม