มะเร็งปอดในภาคเหนือ วิกฤต ผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย 7 คนต่อวัน เสียชีวิต 5 คนต่อวัน
น่าเป็นห่วง กรมการแพทย์ เปิดสถานการณ์มะเร็งปอดของภาคเหนือ หลังเกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 จากการสำรวจพบ ป่วยและเสียชีวิตปีละหลักพันคน
กรมการแพทย์ เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์โรคมะเร็งปอดในภาคเหนือ พบภาคเหนือมีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่น ๆ จากหลายปัจจัยสาเหตุ
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ เผยว่า โรคมะเร็งปอดเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขในภาคเหนือ โดยพบว่ามีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดสูงกว่าภาคอื่น ๆ กล่าวคือภาคเหนือพบผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดรายใหม่เฉลี่ยปีละ 2,487 รายต่อปี หรือประมาณวันละ 7 ราย และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ยปีละ 1,800 รายต่อปี หรือประมาณวันละ 5 ราย ทั้งนี้ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยมะเร็งปอดส่วนใหญ่อยู่ในวัยสูงอายุ มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งปอดที่สูงในภาคเหนือมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญหลายประการ
นายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งลำปาง กล่าวว่า โรคมะเร็งปอดเกิดจากหลายปัจจัยเสี่ยงร่วมกันทั้งพันธุกรรม หรือการได้รับสารก่อมะเร็งต่างๆ ปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคมะเร็งปอดที่สำคัญเกิดจากการสูบบุหรี่และควันบุหรี่มือสอง นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงอื่นได้แก่ การสัมผัสก๊าซเรดอน การสัมผัสแร่ใยหิน การสัมผัสรังสี ควันธูป และมลภาวะทางอากาศต่างๆ ซึ่งฝุ่น PM2.5 จัดอยู่ในส่วนนี้
สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (International Agency for Research on Cancer หรือ IARC) ได้กำหนดให้มลภาวะทางอากาศเป็นสารก่อมะเร็ง กลุ่มที่ 1 หมายถึงมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ถึงปัจจัยเสี่ยงสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง นอกจากนี้มีการศึกษาหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ร่วมด้วยกับการสัมผัส PM2.5 จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดร้อยละ 40 เทียบกับประชากรทั่วไป
ดังนั้น จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งในการเกิดมะเร็งปอดไม่ใช่สาเหตุเพียงอย่างเดียว และในปัจจุบันยังไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างเจาะจงว่าในผู้ป่วยคนหนึ่งที่เป็นมะเร็งปอดนั้นเป็นจากสาเหตุใด เนื่องจากกระบวนการเกิดโรคมะเร็งมีหลายกระบวนการเกิดได้จากหลายปัจจัย การรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด
ที่สำคัญที่สุดยังเป็นเรื่องของการรณรงค์การหยุดสูบบุหรี่และควันบุหรี่มือสอง การหลีกเลี่ยงการก่อมลภาวะทางอากาศ เช่น ควันธูป และมลภาวะต่าง ๆ หากต้องอยู่ในสถานที่มีฝุ่น PM2.5 เฉลี่ยสูงควรใส่หน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่นขนาดที่เล็กกว่า 2.5 ไมครอนได้ เช่น หน้ากาก N95 หมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ และหากมีอาการผิดปกติทางระบบทางเดิน หายใจ เช่น ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ให้รีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
สำหรับสถานการณ์ฝุ่นของภาคเหนือในปัจจุบัน ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤต โดยข้อมูลปัจจุบัน (9 เม.ย. 67 เวลา 11.09 น.) จังหวัดเชียงใหม่ยังอยู่ในอันดับที่ 2 ของการจัดอันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกจาก IQAir โดยมีค่าอากาศ AQI US อยู่ที่ 215 (ค่า AQI US ระดับ 201-300 มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างรุนแรง)
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อาจารย์ มช. เสียชีวิตจากมะเร็งปอด 4 รายใน 1 ปี เพื่อนอจ. ถาม ต้องเสียอีกเท่าไหร่ถึงแก้วิกฤตฝุ่น PM 2.5
- แม่โพสต์ภาพลูกเลือดกำเดาไหล ฝุ่น PM 2.5 แรง เครื่องฟอกอากาศเอาไม่อยู่
- “สุขชาวบ้าน” ปล่อยคลิปแอ่วเหนือ เจอฝุ่น PM2.5 แล้วมีความสุขมาก ! ทำฮาลั่น