ข่าว

“บิ๊กโจ๊ก” ของขึ้น ฝากถึง สส. อภิปรายพาดพิง กล่าวอะไรในสภาฯ อย่าพูดเอามัน

บิ๊กโจ๊ก น้อยใจหลังถูก สส. ฝ่ายค้าน อภิปรายพาดพิงกลางที่ประชุมสภา ปมเบ่งอำนาจเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาคุยที่สโมสรตำรวจจนผู้กำกับเสียชีวิต

กรณี สส. ฝ่ายค้านได้กล่าวพาดพิงการทำงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ในการประชุมสภาฯ ญัตติอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยกล่าวพาดพิงว่า “บิ๊กโจ๊ก” อวดเบ่งอำนาจ เรียกผู้กำกับมาประชุมที่สโมสรตำรวจจนผู้กำกับเสียชีวิต

ล่าสุดบัญชีเฟซบุ๊ก @สุรเชษฐ์ หักพาล ก็ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวผ่านบัญชีโซเชียลของตัวเอง ระบุ ตนขอชี้แจงว่า บุคคลที่เป็น สส. จะพูดอะไรในสภาฯ ต้องดูข้อมูลให้รอบด้าน ไม่ใช่พูดเอามัน

แน่นอนว่า ตอนนี้ตำรวจมีภาพลบมาก ตนไม่เถียง แต่ตำรวจที่ทำงานเพื่อประชาชนก็มีมาก โดยนายตำรวจระดับบิ๊กยังยกตัวอย่าง ในวันที่ชาวบ้านตาดำ ๆ เดือดร้อน มีปัญหาเอื้อมไม่ถึงความยุติธรรม เพราะไม่มีเงิน ตนจึงต้องช่วย

ในโพสต์ รองผบ.ตร. ยังพิมพ์ข้อความคล้ายตัดพ้อ โดยเรียกตัวเองว่าเป็น “รอง ผบ.ตร. แต่ทำตัวเหมือนร้อยเวรสอบสวน ” ก่อนแนะนำ สส. ที่อภิปรายพาดพิงตนเอง ต้องเข้าใจการทำงานของการสอบสวนคดี การอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนเสียก่อน ต้องมีความรู้ที่แท้จริงว่า เรื่องราวความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ที่โรงพักทั้งหมด ทั้งประเทศเรามีโรงพักทั้งหมด 1484 โรงพัก ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนคือ ประชาชนไปพบร้อยเวร ร้อยเวรไม่รับแจ้งความ ไม่รับคดี ไม่ทำคดีให้เสร็จเร็ว

จากนั้น นายตำรวจใหญ่กล่าวต่อโดยยกเคสอย่างของกันจอมพลัง ที่อาผู้เสียหายถูกข่มขืนมาพบ เอาเหยื่อมาพบ แม่ผู้เสียหายลูกถูกฆ่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมาพบ เคสของสายไหมต้องรอด ซึ่งพาผู้เสียหายทุกรูปแบบมาพบ ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งประเทศมาพบ ตนก็ต้องรับทุกเรื่องด้วยตัวเอง

บิ๊กโจ๊ก กล่าวงต่อว่า “ร้อยเวร 1 คน รับคดีแค่ 1 โรงพัก” แต่ตนคนเดียวยืนรับคดีชาวบ้านที่มาพบด้วยความเดือดร้อน จากทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นอำนาจการสอบสวนคดีอยู่ที่โรงพักทั้งหมด ตนก็ต้องเรียกผู้กำกับโรงพักนั้นโรงพักนี้มาพบเพื่อตรวจสำนวนดูว่า ทำไมทำคดีล่าช้า ติดตรงไหน

บางครั้งไปติดเรื่องผลตรวจพิสูจน์ของกลาง ไปติดปัญหาเรื่องการประสานงานอัยการ ศาลบ้าง ตนก็ต้องลงไปช่วยลูกน้อง แก้ไขปัญหาเพื่อช่วยร้อยเวร ให้สามารถสรุปสำนวนการสอบสวนได้รวดเร็ว

บางครั้ง “ลูกน้องยศเล็ก” เขาก็ประสานขอสอบสอบสวนพยานต่างกระทรวงไม่ได้ ตนก็ต้องยกหูหาอธิบดีกรมนั้นให้ เพราะเป็นเพื่อนกัน

บิ๊กโจ๊ก กราบเรียน ประชาชนอันเป็นที่รัก
ภาพ Facebook @SurachateHakparn

นอกจากนี้ บิ๊กโจ๊ก ยังท้าให้ สส. ที่พาดพิงลองไปถามชาวบ้านว่ามีคนไหนกร่นด่าตนบ้าง และข้อสำคัญ ตัวเองไม่ได้ทำเพื่อคะแนนเสียง แต่ทำเพื่อความเดือดร้อนของประชาชนที่เอื้อมไม่ถึงความยุติธรรม

“ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะพูดถึงเรื่องตำรวจ ความเป็นธรรม ท่านต้องสัมผัสแบบผมให้ได้ก่อนว่า เวลาชาวบ้านเขาเจอความยุติธรรม เขาดีใจจนน้ำตาไหลอย่างไร ผมแค่เป็นห่วง ว่าจะเจอแนวร่วมมุมกลับนะครับ ว่างๆ นั่งคุย กับผู้การแมว อาจารย์ผมบ้าง ท่านจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า คนทำงานที่ติดดินแบบผม อยู่กับชาวบ้านอย่างไร ไม่ใช่มโนครับ อย่าให้ต้องระดมชาวบ้านมาลงคะแนนแข่งกันนะครับ ขอบคุณมากครับ” ประโยคิ้งท้ายในโพสต์เฟซบุ๊กของ @สุรเชษฐ์ หักพาล.

ทั้งนี้ ในการประชุมสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ 3 เม.ย. 2567 ทนายแจม ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายในหัวข้อ “ความขัดแย้งใน สตช. ลึกล้ำกว่าเรื่องนายตำรวจใหญ่ 2 นายทะเลาะกัน แต่คือเรื่องเส้นสาย-ผลประโยชน์ ที่ฝังลึกในทุกอณูขององค์กรนี้ แล้วนายกฯ จะเริ่มปฏิรูปตำรวจ กี่โมง?”

โดยช่วงหนึ่งมีการกล่าว พาดพิงผลพวงจาก การเลือกตำแหน่ง ผบ.ตร. หนล่าสุดที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สส. ฝ่ายค้านมีการอ้างว่าได้เกิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สาขา 2 ขึ้น อ้างอิงข้อมูลจากเฟซบุ๊กเพจของพรรคก้าวไกล ระบเนื้อหาช่วงหนึ่ง ดังนี้

“พลตำรวจเอก จ. ที่ได้ฉายา “แมวเก้าชีวิต” ก็ได้ใช้วิธีการทดสอบอำนาจของตัวเอง ใช้อำนาจเรียกตำรวจมารายงานตัวโดยไม่สนว่าตำรวจที่มานั้นจะประจำการอยู่ที่ไหน บ้านใกล้หรือบ้านไกล เข้าไปรายงานตัวที่สโมสรตำรวจ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สาขา 2”

“ก็เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ที่มีการลือกันว่า “ตั้งตามใบสั่ง” ของนายกเศรษฐา ทำให้เกิดความวุ่นวายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนเกิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาขา 2 จนเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ผบ.ตร. ตัวจริงต้องออกมาแก้เกมด้วยการออกหนังสือคำสั่งห้ามเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมากำชับการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีความจำเป็น”

“แต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ เพราะยังคงมีตำรวจจำนวนหนึ่งขับรถไปกลับเพื่อรายงานตัวต่อ พลตำรวจเอก จ. ซึ่งหลายคนทราบดีว่า นัดเช้ามาบ่าย นัดบ่ายมาดึก จนเกิดเหตุสลดขึ้น เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อผู้กำกับการ สภ. ท่านหนึ่งเสียชีวิตหมดสติระหว่างรอประชุมรายงานต่อ พลตำรวจเอก จ. ที่สโมสรตำรวจ สาเหตุตามข่าวคือพักผ่อนไม่เพียงพอ”

“เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ว่าการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ได้นำไปสู่เหตุการณ์วุ่นวายวินาศสันตะโรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”. ข้อความบ่างส่วนจากโพสต์ @MoveForwardPartyThailand.

ทนายแจม อภิปรายเรื่องตำรวจ
แฟ้มภาพ (Cr. @MoveForwardPartyThailand)

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

Pachara

นักเขียนประจำที่ Thaiger จบการศึกษาด้านศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เคยผ่านประสบการณ์ผู้สื่อข่าวกีฬา เริ่มเขียนบทความกับ Thaiger ตั้งแต่ปี 2021 วิ่งกับการอ่านหนังสือ คือ กิจกรรมที่สนใจเป็นพิเศษ ช่องทางติดต่อ pachara@thethaiger.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button