ไลฟ์สไตล์

ตอบแล้ว “ตากระตุก” ไม่ใช่ลางร้าย แต่เป็นสัญญาณเตือน จากร่างกาย

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์ ตากระตุก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดึงเปลือกตาให้กระตุกวูบวาบ บางคนอาจกังวลว่าเป็นลางร้าย ตามความเชื่อไทยโบราณ “ขวาร้าย ซ้ายดี” แต่ในทางการแพทย์บอกว่า อาจเป็นสัญญาณเตือนด้านสุขภาพร่างกาย ที่บ่งบอกถึงสาเหตุของโรคต่าง ๆ หากเกิดอาการบ่อยครั้ง อย่าปล่อยไว้นาน อันตรายกว่าที่คิด ควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษาเบื้องต้น

ที่ผ่านมา หลายคนคงเคยรู้สึกถึงอาการ “ตากระตุก” อย่างแน่นอน และก็คงจะหนีไม่พ้นหลักความเชื่อสมัยโบราณที่ว่า “ขวาร้าย ซ้ายดี” คิดว่าเป็นอาการบอกเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าหากมีอาการเมื่อใด ก็จะต้องตบตาขวาของตัวเอง แล้วโยนทิ้งไป เพราะเชื่อว่า เป็นเคล็ดที่ควรทำ หรือโยนสิ่งไม่ดีออกไป

ถ้ามองในมุมการแพทย์ อาการตากระตุก อาจเป็นสัญญาณเตือนด้านสุขภาพร่างกาย ที่บอกว่า ร่างกายอ่อนล้า ควรพักผ่อน หรืออาการบ่งบอกถึงโรคต่าง ๆ ซึ่งมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้

ปิดตา

สาเหตุหลักของ ตากระตุก

1. การใช้สายตามากไป : จ้องหน้าจอคอม หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน ส่งผลทำให้ตาล้า เกิดอาการตากระตุก

2. ภาวะตาแห้ง : การขาดน้ำ ทำให้เกิดการระคายเคืองตา จึงไปกระตุ้นระบบประสาท จนเกิดอาการตากระตุก

3. การดื่มแอลกอฮอล์ : หากดื่มแอลกอฮอล์บ่อยครั้ง ส่งผลต่อระบบประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้ตากระตุก

4. ความเครียด : ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อตากระตุก

5. การพักผ่อนไม่เพียงพอ : ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อตาก็ทำงานหนัก เกิดอาการตากระตุกได้

6. การดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน : คาเฟอีนกระตุ้นระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อตากระตุก

7. โรคบางชนิด : เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์ โรคพาร์กินสัน เป็นต้น

ตากระตุก อันตรายหรือไม่

อาการตากระตุก โดยปกติแล้วจะมีอาการไม่นานมาก เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีก็หาย แต่ถ้าเกิดอาการซ้ำ ๆ อยู่บ่อยครั้ง และรู้สึกว่า ผิดปกติ โดยสังเกตจากอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์ด่วน

  • ตากระตุกจนเปลือกตาปิด
  • ตากระตุกนานกว่า 2 สัปดาห์
  • ตากระตุกร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ตาแดง ตาบวม มองเห็นภาพไม่ชัด ปวดตา เป็นต้น

ดวงตา

โรคจากอาการ ตากระตุก

  • โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s Palsy)
  • โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia)
  • โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s Disorder)
  • โรคคอบิดเกร็ง (Cervical dystonia)
  • โรคกล้ามเนื้อใบหน้าบิดเกร็ง (Facial Dystonia)
  • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
  • โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็ง (Oromandibular Dystonia)

วิธีป้องกัน ตากระตุก

1. ลดปัญหาความเครียด จัดเรียงความสำคัญในชีวิต เช่น ทำงาน หรือเรียน รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ นอนครบชั่วโมง ตามที่ควรจะเป็น อย่างนอนก็วันละ 8 ชั่วโมง

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรักษาความสะอาดของดวงตา เพื่อช่วยแก้ปัญหาตาแห้งได้ และลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

3. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งกระตุ้นระบบประสาทให้ทำงานหนัก

4. ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ ค่อยอัปเดตอาการ รวมไปถึงโรคต่าง ๆ เพื่อสามารถรับรู้แนวทางแก้ปัญหาได้ทันที

5. พักสายตาเมื่อเวลาอยู่หน้าจอคอม หรือโทรศัพท์นาน ๆ แบ่งเวลาพัก ควบคู่กับท่าบริหารรอบด้วยตาไปด้วย

รูปตา

ทั้งนี้ อาการตากระตุก ไม่ได้เป็นเรื่องของลางบอกเหตุร้าย แต่เป็นเรื่องสุขภาพที่ทุกคนควรระวัง โดยการปรับเปีนวิธีใช้ชีวิต กินของที่ดีต่อร่างกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการตากระตุก แต่ถ้าหากใครมีอาการเรื้อรัง เกิดบ่อยครั้งไม่หาย แนะนำให้ไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อสามารถรับการปรึกษาเบื้องต้น หรือเข้ารักษาอาการได้ทันที

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Titan Siripong

สวัสดีครับ ผมไตตั้น นักเขียนคอนเทนต์ ฝึกหาประสบการณ์ที่ Thaiger ศึกษาอยู่คณะวิทยาการสารสนเทศ สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สนใจในเรื่องข่าวบันเทิง เพลง ภาพยนตร์ และซีรีส์ ถ่ายทอดผ่านการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ และเข้าใจง่าย การเรียนรู้สิ่งใหม่เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่พร้อมที่จะเผชิญอยู่เสมอ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button