วีรกรรมแสบ ‘น็อต วรฤทธิ์’ เล่า เคยถูกส่งเรียนเมืองนอก แต่เกเรจนโดนแบนวีซ่า
น็อต วรฤทธิ์ เล่าวีกรรมสุดแสบสมัยเด็ก เกเรจนถูกส่งไปเรียนเมืองนอก แต่สร้างเรื่องถึงขั้นโดนแบนวีซ่า เผยถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำอีก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านักแสดงหนุ่ม พ่วงตำแหน่งพิธีกรมาดเข้มคนนี้ ในอดีตเขามีเรื่องเล่าวีรกรรมความแสบซ่า ความคึกคะนองของวัยรุ่นเยอะมากกับ น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ ที่ล่าสุด (24 ม.ค. 67) ควงแขนคุณพ่อตุ่ม ชลิต เฟื่องอารมย์ ออกรายการคุยแซ่บShow ของทางช่อง One31 เล่าหมดเปลือกสมัยเด็กแสบแค่ไหน
เปิดรายการมาก็ทำพ่อตุ่มปวดหัวหนักเลย เพราะไม่เคยรู้วีรกรรมของลูกชายมาก่อน เพิ่งมารู้ช่วงหลัง ๆ ส่วนพฤติกรรมลูกช่วงวัยคึกคะนอง ก็ตามประสาเด็กผู้ชายทั่วไป น็อตเล่าว่าสมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่จะฮิตเล่นกระจับ ระเบิดสามเหลี่ยม ซึ่งน็อตขยายความว่าเป็นประทัดชนิดหนึ่ง เล่นกับแก๊งเพื่อน 10-20 คน
วีรกรรมที่จำไม่ลืมคือเอาประทัดมามัดรวมกันเป็นก้อน ๆ แล้วต่อชนวนยาว ๆ ไปไว้ตามซอกต้นไม้ก่อนจะจุดสร้างความตกใจให้กับคนในโรงเรียน ซึ่งต่อมาทางโรงเรียนไล่ค้นเจอประทัดในกระเป๋าน็อต รวมไปถึงหนังสือโป๊ด้วย เพราะเพื่อน ๆ นำมาใส่ไว้ จึงทำให้ถูกไล่ออกเพียงคนเดียว หลังจากนั้นถูกพ่อตุ่มและคุณแม่ส่งไปดัดสันดานเรียนเมืองนอกที่นิวซีแลนด์
แต่หลังจากข้ามน้ำข้ามประเทศไปแล้ว ไม่วายพฤติกรรมสุดห้าวเป้งตามประสาวัยรุ่นของน็อตก็ยังคงอยู่ เขาเล่าว่าสมัยนั้นชาวต่างจะดูถูกชาวเอเชียรุนแรงมาก ทำให้ถูกรังแกอยู่เสมอ ซึ่งทางด้านน็อตก็เริ่มโตเป็นวัยรุ่นเต็มตัว ไม่ยอมคนจนทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นจนถูกไล่ออกจากโรงเรียนแรก แต่เมื่อย้ายไปอยู่อีกโรงเรียนก็มีปัญหาแบบเดิม
พื้นเพแล้วน็อตไม่ใช่คนรักเรียน ชอบใช้ชีวิตเที่ยวเล่นไปตามประสาวัยรุ่น มีครั้งหนึ่งโค้ชที่อยู่ด้วยเขียนจดหมายด่าน็อตให้คุณแม่อ่าน ซึ่งน็อตก็แก้ต่างว่าตนไม่ใช่เด็กรักเรียนจริง แต่ไม่ได้เกเรถึงขั้นนั้น และอาจจะประกอบกับไม่ได้ช่วยงานบ้านโฮสต์ ไม่ได้สุงสิงกับครอบครัวของโฮสต์เลย จึงทำให้เป็นวัยรุ่นต่อต้านสังคม
นอกจากนี้น็อตยังเล่าให้ฟังว่าเคยถูกแบนวีซ่าด้วย อาจเป็นเพราะทางโรงเรียนส่งรายงานไปที่สถานทูตว่าน็อตมาก่อความวุ่นวาย แทนที่จะมาเรียนหนังสือ แล้วใช้คำว่า “เป็นผู้นำคนไทยให้เกเร” ซึ่งน็อตกล่าวว่าตนไม่ได้นำใคร แค่เกเรตามประสาตัวเองคนเดียว แต่ตอนนี้เข้าประเทศนิวซีแลนด์ได้แล้วตามปกติ เพียงแต่ในอดีตโดนแบนไม่ให้เรียนหนังสือในเครืออังกฤษ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย
สุดท้าย น็อต วรฤทธิ์ ก็ไปไม่รอดในต่างแดน จึงต้องเดินทางกลับมาสอบเทียบที่ประเทศไทย ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเสียดายโอกาสในครั้งนั้นมาก ๆ เพราะโอกาสที่จะได้ไปเรียนต่างประเทศในสมัยนั้นค่อนข้างยาก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะไม่ทำแบบนั้น ยอมรับว่ายังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้
แต่อย่างไรก็ดี น็อตยืดอกรับว่าการเข้าวงการบันเทิงนับเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนทั้งนิสัย ความคิด ทัศนคติ แม้ตอนแรกจะเข้าวงการบันเทิงเพราะถูกเรียกผิดตัว แต่ด้วยความพยายามในที่สุดก็ได้เล่นละคร และสิ่งนี้เองก็ทำให้เข้าใจพ่อตุ่มมากขึ้นว่าต้องทำงานหนัก บางครั้งต้องออกต่างจังหวัด เพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ชื่นชมพ่อที่หาวิธีดัดสันดานตนได้ในที่สุด