
จำได้ไหม ‘งูเก็งกอง’ หนังกัมพูชาหนึ่งเดียว ฮิตในไทย ก่อนเขมรแดง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ชีวิตนางเอกสายเลือดไทย ดี เสวต จากรุ่งโรจน์ ต้องระหกเหิน ไปกัมพูชา ก่อนกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด
ย้อนกลับไปสมัย 60 ปีก่อน ในยุคที่จอเงินของไทยยังไม่มีภาพยนตร์จากเกาหลีหรือฮอลลีวูดเข้ามาตีตลาด คอหนังรุ่นใหญ่อาจยังพอจำชื่อ ‘งูเก็งกอง’ ได้ ภาพยนตร์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาได้ แต่เด็กรุ่นใหม่น่าจะไม่รู้จักแล้ว ไม่เพียงแต่ดังในบ้านเกิด แต่ยังข้ามมาสร้างปรากฏการณ์ทำเงินถล่มทลายในประเทศไทย กลายเป็นตำนานที่ถูกกล่าวขาน ก่อนที่ความรุ่งเรืองของวงการหนังเขมรจะเลือนหายไปพร้อมกับยุคสมัยแห่งความเจ็บปวดของเขมรแดง

ตำนานธิดาอสรพิษบนแผ่นฟิล์ม
งูเก็งกอง (ชื่อภาษาเขมร: ពស់កេងកង) คือภาพยนตร์แนวโรแมนติก-สยองขวัญ ออกฉายครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 นำแสดงโดย ดี เสวต ผลงานการกำกับของ เตีย ลิมกุน ผู้กำกับชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน ซึ่งความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในบิดาแห่งวงการภาพยนตร์เขมร
เนื้อหาของหนังดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านเขมร เล่าเรื่องราวของ โสรยา หญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมคำสาปประหลาด บนศีรษะของเธอเต็มไปด้วยงูตัวเล็กตัวน้อยเลื้อยระโยงระยางแทนเส้นผม ไม่ต่างจากเมดูซ่าในตำนานกรีก โชคดีที่หญิงสาวอาภัพได้รับความเมตตาจากฤาษีตนหนึ่งที่มอบแหวนวิเศษให้ เมื่อสวมแหวน งูบนหัวจะกลายเป็นเส้นผมดำขลับงดงามเหมือนคนทั่วไป แต่มีเงื่อนไขสำคัญว่า หากเธอสูญเสียพรหมจรรย์เมื่อใด คำสาปจะกลับคืนมาและเธอจะกลายเป็นงูตลอดไป
วันหนึ่งโสรยาได้ช่วยชีวิต เวหา ชายหนุ่มที่ตกน้ำตก ความใกล้ชิดก่อเกิดเป็นความรัก แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับถูกขัดขวางโดย ราณี คู่หมั้นของเวหา ความหึงหวงนำไปสู่เรื่องเศร้าจนฤาษีผู้เป็นที่พึ่งเดียวของโสรยาต้องเสียชีวิต
ปรากฏการณ์ “งูเก็งกอง” ฟีเวอร์ในไทย
ปี 2513 ที่งูเก็งกองเข้าฉาย ถือเป็นยุคทองของวงการภาพยนตร์กัมพูชา หนังทำรายได้อย่างมหาศาลในประเทศ ส่งให้นักแสดงนำอย่าง ดี เสวต และ เจีย ยุทธร โด่งดังเป็นพลุแตก
ความสำเร็จไม่ได้หยุดอยู่แค่ในกัมพูชา เมื่อบริษัทดารารัฐภาพยนตร์นำเข้ามาฉายในประเทศไทย งูเก็งกองสร้างปรากฏการณ์คนดูแน่นขนัดทุกโรงภาพยนตร์ กวาดรายได้ในยุคนั้นไปถึง “หลักล้านบาท” ถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก ความนิยมล้นหลามทำให้มีการสร้าง งูเก็งกอง ภาค 2 ตามออกมาในปีถัดมา ครั้งนี้ได้ดึงนักแสดงสาวชาวไทยชื่อดัง อรัญญา นามวงศ์ ไปร่วมแสดงนำ ซึ่งก็ทำรายได้ทะลุหลักล้านบาทอีกครั้ง
ได้เงินแล้วยังได้กล่อง งูเก็งกองยังเคยคว้ารางวัลระดับนานาชาติถึง 6 รางวัล รวมถึงรางวัลผู้กำกับและนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในเทศกาลภาพยนตร์เอเชียครั้งที่ 19 ที่ประเทศสิงคโปร์ ปี 2515 สร้างความภาคภูมิใจให้แก่วงการหนังเขมรอย่างยิ่ง
ประวัติ ดี เสวต ราชินีจอเงินแห่งกัมพูชา ผู้รอดชีวิตจากเขมรแดง จากร่ำรวย โดนยึดทรัพย์ ลี้ภัยนอกประเทศ
ดี เสวต (Dy Saveth) นางเอกเจ้าของบทบาทธิดาพญางู ผู้เป็นดาวค้างฟ้าแห่งเอเชียในยุค 60-70 เป็นหนึ่งในศิลปินไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากยุคเขมรแดง เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2487 ที่กรุงพนมเปญ ครอบครัวของเธอมีเชื้อสายไทย ยายทวดเคยเป็นนางรำในราชสำนักสยาม มาแสดงต่อหน้าพระพักต์กษัตริย์กัมพูชา
ความงามของดี เสวตโ การันตีด้วยตำแหน่ง มิสกัมพูชาคนแรก ในปี 2502 ซึ่งเป็นใบเบิกทางให้เธอเข้าสู่วงการบันเทิง
ในช่วงยุคทองของวงการหนังเขมร (ทศวรรษ 1960-1970) ดี เสวต มีผลงานภาพยนตร์มากกว่า 100 เรื่อง บทบาทที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกคือ “ธิดางู” ในภาพยนตร์เรื่อง งูเก็งกอง จนคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมระดับเอเชีย ตามมาด้วยผลงานเด่นอีกมากมาย เช่น นางสิบสอง และ กุหลาบไพลิน ด้วยความสามารถในการแสดงบทดราม่าเรียกน้ำตา ทำให้เธอได้รับสมญาว่า “ราชินีน้ำตา”
ความดังของเธอข้ามมาถึงประเทศไทย ดี เสวตเคยร่วมแสดงในภาพยนตร์ไทยหลายเรื่อง เช่น “น้ำใจพ่อค้า” (2514) คู่กับ ยอดชาย เมฆสุวรรณ และ “รักข้ามขอบฟ้า” (2515) ประกบ สมบัติ เมทะนี และ อรัญญา นามวงศ์ สร้างความประทับใจให้แฟนหนังชาวไทยอย่างมาก
ชีวิตตกต่ำเพราะการเมืองจากยุคเขมรแดง
ปี 2518 เมื่อเขมรแดงยึดอำนาจ วงการศิลปะของกัมพูชาล่มสลาย ศิลปินจำนวนมากถูกสังหาร ดี เสวต คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด เพราะเธอเดินทางออกนอกประเทศได้ทันก่อนที่กรุงพนมเปญจะแตก แต่แลกมาด้วยเงินเก็บทั้งชีวิตหลายล้านบาท รวมถึงบ้าน ถูกเขมรแดงยึดไปสิ้น
ดี เสวตลี้ภัยไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศฝรั่งเศส ต้องทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ปกปิดตัวตนจากการเป็นอดีตดาราดัง
หลังลี้ภัยนาน 18 ปี ดี เสวต เดินทางกลับกัมพูชาในปี 2536 เธอทุ่มเทให้กับการฟื้นฟูวงการบันเทิงที่ซบเซา เปิดบ้านสอนการแสดงให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ลูกศิษย์ของเธอหลายคนได้เติบโตเป็นนักร้องนักแสดงที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา
เธอกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง และมีผลงานสำคัญคือ The Last Reel (2557) ภาพยนตร์ที่ทำให้ได้รับรางวัล Spirit of Asia Award จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตเกียว
ปัจจุบัน ดี เสวต ในวัยกว่า 80 ปี ยังคงมีผลงานในวงการ ได้รับการยกย่องในฐานะ ศิลปินแห่งชาติของกัมพูชา เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพและสายใยทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและกัมพูชา จากความทรงจำอันดีในอดีต
ชีวิตของ ดี เสวต คือเรื่องราวของนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา จากจุดสูงสุดของการเป็นราชินีจอเงิน สู่การเป็นผู้ลี้ภัยที่สิ้นเนื้อประดาตัว และกลับมายืนหยัดในวงการอีกครั้งอย่างสง่างาม เป็นตำนานที่มีลมหายใจของวงการภาพยนตร์กัมพูชาอย่างแท้จริง
หนังเรื่องกูเก็งกอง จึงเป็นมากกว่าภาพยนตร์เพื่อความบันเทิง แต่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของยุคสมัยที่วัฒนธรรมบันเทิงไทยและกัมพูชามีการแลกเปลี่ยนกันอย่างคึกคัก ก่อนที่เหตุการณ์เขมรแดงจะพรากทุกอย่างไป ทั้งความเจริญ ชีวิตของผู้คน
แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี ตำนานของงูเก็งกองยังคงไม่จางหาย ในปี 2544 มีการนำกลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง ได้นักแสดงไทย วินัย ไกรบุตร แสดงคู่กับนักแสดงกัมพูชา และล่าสุดในปี 2560 กัมพูชาได้สร้างเป็นละครโทรทัศน์ โดยผู้สร้างยอมรับว่าส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความโด่งดังของละครไทยเรื่อง “นาคี” ที่ไปฮิตในกัมพูชา
เรื่องราวของ “งูเก็งกอง” จึงเป็นเหมือนแคปซูลกาลเวลา ที่พาเราย้อนกลับไปเห็นภาพความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและมิตรภาพของสองประเทศ ซึ่งหลงเหลือไว้เพียงในความทรงจำและบนแผ่นฟิล์มระดับตำนานเรื่องนี้
ติดตาม The Thaiger บน Google News: