ปารมี ร้องสอบครูแนะแนวตบเด็ก ชี้ก่อเหตุซ้ำซาก ควรเพิกถอนใบอนุญาต
ปารมี ไวจงเจริญ สส.ก้าวไกล ร้องตรวจสอบครูแนะแนวตบนักเรียน ชี้ก่อเหตุซ้ำซากหลายครั้ง ควรเพิกถอนใบอนุญาต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงกับเด็กอีก
จากกรณีครูแนะแนวโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง ก่อเหตุทำร้ายร่างกายลูกศิษย์ด้วยการใช้ฝ่ามือตบเข้าไปที่บริเวณใบหน้าของเด็กนักเรียนรายหนึ่ง แม้เด็กจะยกมือขอโทษแต่ยังไม่หยุด แถมยังตบซ้ำ ท่ามกลางสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของครูคนดังกล่าว และเรียกร้องให้ทางโรงเรียนดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับครูรายนี้
ล่าสุด นายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาเคลื่อนไหวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปเหตุการณ์ครูแนะแนวในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านถนนรามคำแหงได้ตบหน้านักเรียน รวมถึงเหตุการณ์นักศึกษาย่านปทุมวันเสียชีวิตจากกิจกรรมรับน้องภายในสถาบันถึง 2 รายว่า
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนอำนาจนิยมและความรุนแรงในสังคมไทยฝังรากหยั่งลึกมานานมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผลิตซ้ำอำนาจนิยมและความรุนแรงขึ้นอีก ต้องกำจัดความเชื่อและการกระทำ 2 ประเภทนี้ออกไปจากสังคมไทยให้จงได้ คือ
1. ความรุนแรงระดับความคิด (Psychological Violence) ที่เห็นได้ชัด คือ บุคคลบางกลุ่มในสถานศึกษา เช่น ครูหรือรุ่นพี่ มักมีแนวคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีความเหนือกว่า มีอำนาจเหนือกว่านักเรียนหรือรุ่นน้อง เช่น มีอายุมากกว่า, มีสถานะ ตำแหน่งหน้าที่เหนือกว่า หรือมีอำนาจให้คุณให้โทษ ให้คะแนนให้เกรด เป็นต้น บุคคลกลุ่มนี้จึงใช้อำนาจชี้นำ สั่งสอน ควบคุม และใช้ความรุนแรงกับนักเรียน รุ่นน้องให้เป็นไปในแบบที่ตนเองต้องการ หรือทำให้กลัว โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามหลักเหตุผลและหลักสิทธิมนุษยชน
2. ความรุนแรงเชิงกายภาพ (Physical Violence) คือ การลงมือกระทำการทางกายที่ครู รุ่นพี่ ทำโทษนักเรียน รุ่นน้องเกินกว่าเหตุ โดยอ้างเหตุผลที่ผิด อ้างค่านิยมที่ผิด เป็นเหตุผลที่เข้าข้างตัวเอง เป็นค่านิยมยุคเก่าโบร่ำโบราณ เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจเข้าไปควบคุมและละเมิดอีกฝ่ายโดยปราศจากการโต้แย้ง ปรากฏให้เห็นในหลายพฤติกรรมซึ่งล้วนเป็นพฤติกรรมที่ผิดทั้งหลักสิทธิมนุษยชนและผิดกฎหมาย เช่น การสั่งให้นักเรียนเรียกครูว่าแม่, การตี, การกร้อนผม, การใช้กรรไกรตัดขากางเกงหรือชายกระโปรงนักเรียน, การบังคับให้กราบ, การประจานหน้าเสาธง, การที่รุ่นพี่บังคับให้รุ่นน้องวิ่งรอบสนามโดยไม่ประเมินศักยภาพทางกายของรุ่นน้อง, การบังคับให้รุ่นน้องกลิ้งตัวบนพื้นถนน, การลงมือทำร้ายร่างกายรุ่นน้องทั้งการต่อย ตี กระทืบ เป็นต้น
นายปารมี ยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (เนื่องจากเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นในโรงเรียนสาธิตซึ่งสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง) ว่ารัฐมนตรีทั้ง 2 คน ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและอย่างเป็นระบบ โดยเร่งกระบวนการสืบสวนสอบสวนครูที่กระทำผิดคนนี้ให้ได้รับโทษทั้งทางวินัยและทางกฎหมาย รวมถึงเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวก หรือเห็นว่าเป็นครูอาวุโส หรือเป็นครูที่เส้นใหญ่รู้จักคนใหญ่คนโต
นายปารมี ยังยืนยันอีกว่า เท่าที่ได้ข้อมูลเบื้องต้นมา ครูคนนี้กระทำความรุนแรงต่อนักเรียนหลายครั้ง ทำไมผู้บริหารโรงเรียนจึงปล่อยปละละเลยให้เกิดการกระทำความรุนแรงได้อย่างซ้ำซาก จึงขอถามไปยังผู้บริหารโรงเรียนว่าทำไมถึงไม่ยุติการทำงานของครูคนนี้ตั้งแต่กระทำความรุนแรงครั้งแรก หากครูคนนี้มีปัญหาสุขภาพจิต ทางโรงเรียนก็ควรส่งไปรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ ทำไมจึงปล่อยผ่านมาได้ขนาดนี้
นอกจากนี้ ยังต้องเร่งเยียวยานักเรียนผู้ถูกกระทำพร้อมทั้งครอบครัวของนักเรียนว่าได้รับผลกระทบร้ายแรงทางร่างกายและทางจิตใจอย่างไรบ้าง เพราะนักเรียนถูกตบจนหน้าหันถึง 2 ครั้งไปขนาดนี้ ร่างกายก็ต้องบาดเจ็บ แต่จิตใจก็ยิ่งบาดเจ็บกว่า ทางโรงเรียนและกระทรวงต้องมีระบบติดตาม ฟื้นฟู และเยียวยาอย่างเร่งด่วน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง