‘กรณ์’ กระทุ้งถาม 3 ข้อ “แจกเงินดิทัล 10,000” ชี้หากดำเนินการผิดพลาดผู้ชดใช้คือประชาชน
การเมืองวันนี้ กรณ์ จาติกวณิช เคลื่อนไหวผ่านเซฟบุ๊กตั้งคำถาม 3 ข้อ เรื่องแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ลั่นชัดถ้าดำเนินการผิดพลาด ผู้ที่ต้องชดใช้คือประชาชนทุกคน
กรณ์ จาติกวณิช อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงแนวทางเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของนรัฐบาลชุดปัจจุบัน เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา โดยเป็นการวิเคราะห์พร้อมกับตั้งคำถามสำคัญที่อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้ โดยเฉพาะกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
เนื้อหาที่เขียนไว้ในโพสต์บัญชีเฟซบุ๊กนัการเมือง วัย ปี ระบุ ดังนี้
รัฐบาลเปิดแนวความคิดเพิ่มเพดานการกู้ยืมจากสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อเปิดวงเงินกู้ 450,000 ล้านบาทรองรับโครงการ #แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้ประชาชน 56 ล้านคน โดยที่รัฐกำลังเตรียมเพิ่มเพดานการกู้ตามกฎหมายจากปัจจุบัน 32% ของวงเงินงบประมาณ เป็น 45%
คำถามที่หลายคนอาจจะมีคือ
- ถูกกฎหมายหรือไม่?
- ถูกหลักการวินัยทางการคลังหรือไม่?
- จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจโดยรวม?
คำตอบเบื้องต้นคืออำนาจรัฐบาลมีจริง เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุเพดานตายตัว (ซึ่งต่างกับ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ ที่รัดกุมกว่า เพราะระบุเพดานการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณไว้ชัดเจน) กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2561 โดยเพดานกำหนดไว้เดิมที่ 30% และในปลายปี 2564 #รัฐบาลประยุทธ์ ก็ปรับเพดานเพิ่มเป็น 35% เพื่อรองรับการประกันรายได้เกษตรกรที่มีการใช้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นปลายปี 2565 ก็ได้มีการปรับลดเพดานลง แต่ก็ยังไม่สามารถลดกลับลงไปจุดเดิมได้ วันนี้อยู่ที่ 32% การเพิ่มเพดานเป็น 45% หมายความว่า รัฐบาลเตรียมที่จะ ‘กู้นอกระบบงบประมาณ’ เพิ่มอีก 450,000 ล้านบาท การกู้วิธีนี้ไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะเพราะรัฐไม่ได้คํ้าประกันโดยตรง (แต่คํ้าทางอ้อม เพราะเป็นการยืมจากธนาคารของรัฐ)
หลักคิดง่าย ๆ ในการประเมินความมั่นคงทางการคลังของทุกประเทศ คือ ‘เงินที่ใช้มาจากไหน’ ซึ่งที่มั่นคงสุดคือเงินมาจาก ‘ลาภลอย’ เช่นการขายทรัพยากรธรรมชาติเช่นก๊าซหรือนํ้ามัน รองลงมาคือรายได้ภาษี แล้วก็รายได้จากการขายทรัพย์สินของรัฐ จากนั้นก็คือการกู้ในระบบงบประมาณ และการกู้จากกฎหมายพิเศษที่ออกโดยรัฐสภา ท้ายๆ คือการกู้ off balance sheet คือนอกระบบงบประมาณ เช่นให้สถาบันการเงินของรัฐออกเงินไปก่อน
จริง ๆ แล้วความยืดหยุ่นในการบริหารทางการเงินมีความจำเป็น แต่ความเหมาะสมและกาละเทศะการใช้เงินก็สำคัญเช่นกัน
เราจะบอกว่าการประเมินความเหมาะสมเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลก็ไม่ผิด แต่ถ้าดำเนินการผิดพลาด ผู้ที่ต้องชดใช้คือประชาชนทุกคน.