รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ แจงเหตุจำเป็น ตัดขาแม่วัย 39 มาคลอดลูกจนเสียชีวิต
โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ชี้แจงดรณี สาวอายุ 39 ปี มาคลอดลูกแล้วถูกตัดขาจนเสียชีวิต เหตุต้องใช้เครื่องดูดเอาเด็กออก ญาติคาใจไม่ใช้วิธีผ่าตัดทำคลอด หมอแจงรักษาตามขั้นตอนก่อนเผยเหตุจำเป็นต้องตัดขา
จากกรณี นางสาววัฒนาพร หรือ “ตึ้บ สายวัน” หญิงสาววัย 39 ปี ซึ่งอุ้มท้อง 9 เดือนไปคลอดทารกยังโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ แต่ต่อมาแพทย์ที่ทำคลอดได้ดูดเด็กในท้องออกจน มดลูกคนตายเกอดการฉีก มีอาการตกเลือดหนักจนช็อกหมดลมหายใจต่อหน้าน้องสาวที่พาไปคลอด
โดย นางรจนา สะตะ น้องสาวผู้เสียชีวิต กล่าวว่า พี่สาวเข้าโรงพยาบาลเพื่อคลอดเมื่อวันที่ 17 ก.พ. แต่ได้ถูกส่งต่อไปคลอดที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ จากนั้น 18 ก.พ. เวลา 12.42 น. ได้คลอดลูกชายน้ำหนัก 3,350 กรัม ต่อมาได้รับแจ้งจากหมอว่ามีอาการผิดปกติต้องเข้าห้องไอซียู กระทั่งวันที่ 21 ก.พ.2566 หมอมาแจ้งว่าจะต้องตัดขาขวา แต่สุดท้ายพี่สาวได้เสียชีวิตลง
ความคืบหน้าล่าสุด นายแพทย์ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์ ได้ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวแล้ว โดยระบุ หลังจากได้รับคนไข้ที่ถูกส่งตัวมาจากข้อมูลพบว่าทางแพทย์ได้ทำการรักษาอาการตามขั้นตอน และเจอปัญหาคือไม่สามารถจะผ่าคลอดได้
แม้การตอบสนองของคนไข้ดี ช่องคลอดเปิดออกปกติ แต่เมื่อแม่หมดแรงจะต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมือไปช่วยเหลือตามขั้นตอน
ส่วนการเยียวยา ทางโรงพยาบาลจะต้องมีการหารือว่าเข้ามาตรา 41 ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กรณีผู้รับบริการในกรณีที่ได้รับความเสียที่เกิดจากการรักษาพยาบาล) หรือไม่ ถ้าไม่ติดปัญหาทางโรงพยาบาลก็พร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือ
ขณะที่นายแพทย์อนันต์ มุ่งเจริญสันติกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ หัวหน้ากลุ่มงานสูติ-นรีเวชกรรม รพ.ศูนย์บุรีรัมย์ กล่าวว่าหลังได้รับคนไข้มา ได้มีการประเมินแล้ว แต่ปรากฏว่าในช่วงนั้นแม่ไม่มีแรงเบ่ง สวนกับสถานการณ์คือหัวเด็กลงต่ำแล้ว ไม่สามารถจะผ่าตัดตอนนั้นได้ เพราะน่าจะล่าช้ากว่า จึงใช้เครื่องมือมาช่วยในการคลอด
โดยหลังจากนำเด็กออกมาแล้ว แม่เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุด จึงได้นำไปตรวจเช็กอย่างละเอียด มาพบว่าแม่เด็กมีอาการเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นโรคที่แม่เด็กเองอาจจะไม่ทราบมาก่อน ลักษณะนี้เลือดจะไม่ไหลลงไปอวัยวะส่วนล่าง เคสนี้ไปเกิดขึ้นที่ขาขวา จึงจำเป็นต้องตัดขาเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
ทั้งนี้ โรงพยาบาลต้องขอแสดงความเสียใจให้กับผู้เสียชีวิตและญาติผู้เสียชีวิตเป็นอย่างยิ่ง.