น้าหมู พงษ์เทพ เปิดใจถึงจุดพลิกผันของชีวิต “สิ่งที่เหลืออยู่ คือเพลงที่เขียน”
น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เปิดใจผ่านรายการ คุยคุ้ยคน “ผมอยู่ได้ทุกวันนี้ ทุกอย่างที่มีไม่ใช่เรื่องของชีวิตเลย สิ่งที่เหลืออยู่ คือเพลงที่เขียน”
โดยล่าสุด (18 มิถุนายน 2565) น้าหมูได้เผยผ่านรายการ คุยคุ้ยคน ทางช่องยูทูบ หนุ่มคงกระพันofficial ในชื่อตอน คุยคุ้ยคน | 40ปี กวีศรีชาวไร่ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ | รถไฟขบวนสุดท้าย น้าหมูพงษ์เทพ Part 5 ในช่วงต้นคลิปน้าหมูพูดถึงความดังสุด ๆ ในช่วงนั้นว่า
“ช่วงเพลง ตังเก ดังมาก ซื้อวอลโว่เลย เช่าบ้านหลังใหญ่อยู่ซอยอ่อนนุช เช่าแพง หลังเป็นหมื่น ตอนนั้นบ้าพลังเลย เราเป็นคนที่ไม่เคยมีเงินมา ตอนนั้นปี 34 จากนั้นเตรียมทำชุด จ.ป.ล. (จีนปนลาว) มี จ.ป.ล. เพลงคิดถึงบ้าน ผีแมว จันทราคาลิปโซ่ เพลงฝนจากนางหาย
หลังจากนั้น แอ๊ด (คาราบาว) ได้เปิดค่ายเพลงใหม่ จึงมาขอให้ช่วยทำอัลบั้มสักชุด ตนจึงนำไปบอกแกรมมี่ แต่ทางแกรมมี่โกรธจะฟ้อง เพราะอยู่ในช่วงวางแผนจะทำอัลบั้มให้ น้าหมูบอกว่าเข้าใจเพราะเขาก็ลงทุนมาเยอะ แต่ก็ได้กราบอากู๋ (ไพบูลย์) ขอโทษ บอกว่าตัวเองเป็นคนบ้านนอก
“แอ๊ดเขาเคยมีบุญคุณกับผมมากเลย เขาขอผมชุดหนึ่งผมต้องให้ ผมจะเป็นจะตายก็ต้องทำให้เขา แกรมมี่เลยเข้าใจนะเลิกโกรธไม่ฟ้อง”
น้าหมูบอกอีกว่า ต้องชื่นชมชุด จ.ป.ล. ที่ดังระเบิดเลย เพลงคิดถึงบ้านมาแรงมาก ชุดนี้สมบูรณ์กว่าชุดตังเกอีก ชุดตังเกได้เพลงตังเก เพลงเขาใหญ่ กับเพลงคนจนรุ่นใหม่ แต่ชุดนี้ได้คิดถึงบ้าน จ.ป.ล.จีนปนลาว ฝนจางนางหาย ผีแมว จันทราคาลิปโซ่ โคราชา เป็นต้น แต่บริษัทมีปัญหาเลยเอาไปขายให้ค่ายรถไฟดนตรี
หลังจากนั้นมาผลงานก็มีอีกหลายชุดที่โด่งดัง เช่น หนุ่มก่อสร้าง ตอนทำชุด น้ำตาหอยทาก ตอนนั้นทำชุดนี้ช่วงน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ ปี 38 ขายไม่ได้เลย 6 ตอนเดือนแรก พอเปลี่ยนปกจากปกเดิมที่ใช้เบอร์คนรักเก่าตั้งชื่อ มาเป็นรูปหน้าตัวเองและรูปหอยทาก อยู่บนหน้าปก ขายได้เกือบล้านม้วน และพอเอามารวมช่วงชุดสามช่ารอบหน้าค่อยว่ากัน ขายได้อีกล้านกว้าม้วน
น้าหมูบอกว่า “ไม่รู้เงินมาจากไหน เงินเยอะไปหมด ผมซื้อรถเป็นสิบคัน มี 13 คัน ซื้อรถสปอร์ต รถเบนซ์ รถบีเอ็ม รถเบนซ์ ปิกอัพ รถจี๊ป มาสด้า MX-5 แต่ก่อนมีกี่คน ผมขับผ่านหน้ารามคำแหง มันจอดอยู่ริมถนนผมชี้เอาเลย กูรวยนี่หว่า เดี๋ยวนี้เหรอ” และเผยอีกว่า “ตอนนั้นเหมือนคนที่เหมือนคางคกขึ้นวอ จากจนติดดินขึ้นมาอยู่วอ รู้สึกว่าเงินหาง่าย รวมตั้งแต่ชุดตังเกมาจนก่อนชุดเจ้าสาวผีเสื้อ ผมว่าผมขายได้เกิน 5 ล้านม้วน ไอ้ที่แสดงสด ถูกจ้างเล่น อัดบันทึกการแสดงสดอีกต่างหาก”
น้าหมูบอกว่าเป็นคนไม่ชอบเก็บเงิน ชอบซื้อของ จึงได้ซื้อตึกในโคราชทั้งหมด 7 ตึก เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไร เที่ยวทุกวันอยู่แล้ว จนปี 38 มาซื้อที่ทำสตูดิโอ ทำห้องอัดสร้างแบบที่อเมริกา สร้างสระว่ายน้ำ รีสอร์ต สร้างบ้านอีกหลายหลัง ในพื้นที่ 35 ไร่
หนุ่มคงกระพันถามว่าอยากเป็นฮับให้นักดนตรีต่างประเทศหรือคนไทยมาอัดเพลงได้มาอยู่เลยใช่ไหม น้าหมูบอกว่า มีห้องซาวน่า ห้องออกกำลังกายครบ ไม่ได้ทำ สั่งเครื่องอัดไป รวม ๆ 11 ล้าน เขาให้รอเครื่องรุ่นใหม่ รอยังไม่ทัน 3 เดือน ก็เกิดวิกฤติฟองสบู่แตกปี 40 เกือบเป็นหนี้20ล้าน
หลังจากวิกฤติฟองสบู่แตก น้าหมูบอกว่าตอนนั้นยิ่งกว่าโควิด วงไม่มีงาน เราต้องช่วยลูกน้องในวง หรือคนที่รู้จักเราก็ช่วย เรามีเราช่วย ของพวกนี้ตายไปก็เอาไปไม่ได้ รถที่ซื้อไว้ขายทีละคันสองคัน ทยอยขาย มีที่ขายที่ มีตึกขายตึก ที่วังน้ำเขียว ที่ปักธงชัย ก็ขายออกไปจนหมด
น้าหมู เล่าถึงอาการป่วยว่า ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ พอผ่าตัดก็มาเป็นเส้นเลือดตีบในสมอง และก็เป็นลิ่มเลือดอุดตันก้านสมอง ตอนเป็นมะเร็ง ได้ทำคีโมถึง 3 ครั้ง หายแล้ว แต่เส้นเลือดไม่หายหรอก เป็นตลอดชีวิต ด้านขวาเคยเป็นอัมพฤกษ์ ตอนนี้ไม่สามารถเล่นกีต้าร์ได้ ส่วนการเดิน ตอนนี้ก็เดินไม่ค่อยถนัดการเขียนเองก็เช่นกัน ตอนนี้ที่เราต้องรักษาก็เพื่อที่จะทำให้ร้องเพลงต่อไปได้
ช่วงโควิด 3 ปีผ่านมา น้าหมูบอกว่า “ผมไม่มีงานเลย ขายกีต้าร์จนไม่มีใครซื้อเพราะขายยาก ขายรถ ขายก็เหมือนปี 40 หนักคนละแบบ ผมไปยืมเงินแอ๊ดเมื่อไม่นานมานี้ แสนหนึ่งก็พออยู่ได้ เราไม่อยากขอมากเขาก็หามา ไม่รู้เราจะได้ใช้ไหม เขาก็ถามว่าพี่เงินแค่นี้จะพอใช้เหรอ ผมบอกว่าไม่ใช่จะพอใช้ ต้องถามว่าผมจะทำชีวิตอย่างไรให้ใช้เงินแค่นี้ให้พอ มันหมดจริง ๆ เหลือตรงนี้ที่ขายไม่ได้เพราะมันไม่มีใบถือครองอะไร สิ่งที่เหลือก็มีเหลือความสุขที่เราได้เป็นศิลปินที่เราอยากเป็น และมีแฟนเพลงที่เหนียวแน่น”
และพูดถึงการเล่นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายว่า “ครั้งสุดท้ายที่ผมไปเล่นวันที่ 4 ผมไม่อยากบอกเลยว่าเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย มันเหนื่อยมาก วันนั้นวงก็ไม่รู้ คนจัดก็ไม่รู้ ไม่เตรียมการบันทึกแสดงสด คิดว่าเล่นคอนเสิร์ตไปประจำปี คนดูก็ไม่รู้ ผมรู้คนเดียว ผมขึ้นเพลงยอดหญ้า คือเหนื่อยมาก เลยประกาศบนเวทีว่าขอเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้าย โอ้โหคนร้องไห้”
หนุ่มคงกระพันถามว่าน้าหมูพูดไปไม่เศร้าเหรอ น้าหมูกล่าวว่า “ไม่ต้องพูด ไม่รู้จะพูดยังไง มันไม่ไหวจริงๆ ผมกะจะมีอีก 2 คอนเสิร์ตปีหน้าครบ 70 และครบ 40 ปี ถ้าปี 66 ผมจะครบ70 แต่มันไปไม่ไหว มันเหนื่อย แต่ถ้าเป็นกลุ่มเล็ก 50 คน ก็พอรับได้ แต่คอนเสิร์ตน้าหมูร้านนั้นร้านนี้ไม่ไหวแล้ว ต้องรักษาตัวก่อน”
สุดท้ายกวีศรีชาวไร่อย่างน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ยังบอกอีกว่า “ผมอยู่ได้ทุกวันนี้ ทุกอย่างที่มีและที่ขาย ที่ได้และที่ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องของชีวิตเลย สิ่งที่เหลืออยู่และผมได้คือเพลงที่เขียน งานที่ทำ แฟนเพลงเขาได้ความสุข แปรความทุกข์เป็นพลัง ทุกอย่างเป็นผลงานที่อยู่ในใจและมีความสุขมากกว่ารถร้อยคัน มากกว่าบ้านร้อยหลัง มากกว่าเงินทอง แม้วันนี้เหลือไม่มาก แต่ก็ไม่เป็นไร ปกติเราก็ไม่มีอะไรอยู่ เราก็ทำเท่าที่ทำได้มันไม่ตาย ทางตันทำไมหนูออกได้ ก็ทำตัวให้เป็นหนู อย่าทำตัวเป็นยักษ์ เป็นช้าง”
และน้าหมูยังได้เขียนกลอนลงบนเฟซบุ๊คของตัวเองว่า “ผมถือว่าผมเป็น ผขร. รถไฟขบวนสุดท้าย ผมเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายในเพลงเพื่อชีวิตแบบผม อย่าถามว่ารถผุ ๆ รางพัง ๆ เราจะวิ่งยังไง แต่จะถามว่าเราจะวิ่งอย่างไรไม่ให้ตกราง นั่นคือตัวผม”
ติดตามอัพเดตชีวิตของน้าหมูได้ที่เพจ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ-น้าหมู และ สามารถรับชม คุยคุ้ยคน | 40ปี กวีศรีชาวไร่ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ | รถไฟขบวนสุดท้าย น้าหมูพงษ์เทพ Part 5 และพาร์ทอื่น ๆ ได้ทาง ทางช่องยูทูบ หนุ่มคงกระพันofficial