ไขข้อสงสัย Hifu กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร? เหมาะกับสภาพผิวแบบไหน แนะนำคลินิกใกล้คุณ
ไขคำตอบ กระชับใบหน้า Hifu กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร? ในปัจจุบันเทคโนโลยียกกระชับใบหน้านั้นมีทางเลือกให้ผู้ใช้บริการในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีราคา และให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน รวมไปถึงข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยีแต่ละแบบ และแน่นอนว่าของดีก็มีค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลในตัวเอง
ซึ่งในวันนี้ทาง The Thaiger จะมาแนะนำความแตกต่างระหว่าง Hifu กับ Ulthera ว่ามีข้อดีและข้อเสียต่างกันอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประกอบการตัดสินใจในการทำหัตถการบนใบหน้า เพราะเราเกิดมามีเพียงหน้าเดียว จึงต้องดูแลให้ดีที่สุด พร้อมแนะนำทำคลินิกที่ไหนดีใกล้คุณ
Hifu กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับใคร ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร
Hifu คืออะไร
Hifu (High Intensity Focused Ultrasound) หรือที่เรา ๆ เรียกกันว่า “ไฮฟู” หรือ “ไฮฟู่” นั้นคือนวัตกรรมยกช่วยกระชับใบหน้าโดยใช้ “คลื่นเสียง” หรือ “คลื่นอัลตราซาวด์” แบบความเข้มข้นสูงยิงตรงเข้าไปในชั้นผิวหนังระดับลึกถึงชั้น SMAS (Superficial MusculoAponeurotic system) ที่ต้องทำลึกถึงผิวหนังชั้นนี้ เพราะเป็นผิวหนังชั้นที่แพทย์ใช้ผ่าตัดทำศัลยกรรม
โดยหลักการของการทำไฮฟู ก็คือการยิงคลื่นความถี่สูงในปริมาณ 1,000 ครั้ง/วินาที เป็นการใช้พลังงานความร้อนราว ๆ 45-70 องศาเซลเซียส เพื่อให้ผิวหน้าบริเวณที่ถูกยิงกระชับขึ้น และช่วยกระตุ้นการสร้าง “คอลลาเจน” กับ “อิลาสติน” ในใต้ผิวหนังด้วย ซึ่งทั้งคอลลาเจนและอิลาสตินต่างก็เป็นโปรตีนที่อยู่โครงสร้างของผิวหนังเราทั้งคู่ มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าแข็งแรง เรียบตึง และยืดหยุ่น
ซึ่งจุดโฟกัสของ Hifu จะอยู่ที่ขนาด 0.3-0.5 มิลลิเมตร ที่มีขนาดเล็กก็เพราะว่าประสิทธิภาพของเครื่องทำ Hifu นั้นค่อนข้างต่ำ จึงไม่สามารถสร้างก้อนพลังงานที่ใหญ่กว่าขนาดดังกล่าวได้ หากทำจุดโฟกัสใหญ่เกินกว่าค่าที่เครื่องจะรองรับได้อาจเกิดความไม่เสถียร เสี่ยงทำให้ผิวหนังไหม้
แต่ในปัจจุบันก็มีการลบล้างข้อจำกัดของจุดโฟกัส Hifu ขนาดเล็กไปได้ ด้วยการทำ Hifu Macrofocus โดยจะเพิ่มขนาดจุดโฟกัสเป็น 0.5-1 มิลลิเมตร อีกทั้งยังส่งพลังงานได้คงที่มากกว่าการทำ Hifu แบบธรรมดาด้วย
การทำ Hifu นั้นเหมาะกับบุคคลที่เริ่มมีริ้วรอยเล็กน้อย หรือว่าเริ่มมีเหนียงในระยะแรก หรือผู้ที่ต้องการยกแนวคิ้วขึ้นนิดหน่อยก็สามารถทำได้ แต่โดยส่วนมากมักจะทำกันในช่วงอายุ 25-35 ปี
Hifu กี่วันเห็นผล อยู่ได้นานแค่ไหน คุ้มราคาหรือไม่
สำหรับผลลัพธ์ของการยกกระชับผิวหน้าด้วยนวัตกรรมแบบ Hifu นั้นจะเริ่มเห็นผลทันทีตั้งแต่หลังทำเสร็จ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละคนด้วย และสุดท้ายผลลัพธ์ก็จะค่อย ๆ ชัดขึ้นนับตั้งแต่ทำได้ 2 เดือนขึ้นไป
ส่วนระยะเวลาของผลลัพธ์ สำหรับการทำ Hifu จะอยู่ที่ประมาณ 4 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น ดังนั้นหากจะให้ใบหน้ามีความกระชับอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะต้องทำต่อเนื่อง 2-3 ครั้ง/ปี เลยทีเดียว
แต่การยกกระชับผิวหน้าแบบ Hifu นั้นมีราคาที่หลากหลาย ขึ้นอยู่สถานพยาบาลแต่ละที่ โดยจะมีราคาตั้งแต่หลักพัน ไปจนกระทั่งถึงหลักหมื่น ซึ่งเป็นข้อดีของคนที่มีงบน้อยและคนที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่วงการยกกระชับใบหน้า
Hifu ควรทำกี่ครั้ง ทำได้บ่อยแค่ไหน
ถ้าต้องการทำ Hifu ให้เห็นผลดีตลอดเวลา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรจะทำทุก ๆ 3 เดือน ประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ยาวนานมากกว่า 1 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ผิวหน้าของแต่ละบุคคลมีสภาพที่แตกต่างกันไปตามช่วงอายุ ซึ่งคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรทำ Hifu ทุก ๆ 3 เดือน เพราะสภาพผิวหน้านั้นอาจจะมีริ้วรอยที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว แต่หากอายุยังไม่เกิน 30 ปี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ทำเพียงปีละครั้งก็พอแล้ว
การทำ Hifu บนใบหน้า ทำจุดไหนได้บ้าง ทำแล้วเจ็บไหม
การทำ Hifu จะมีข้อจำกัดอยู่ที่บริเวณใกล้กระดูกที่จะไม่ค่อยเห็นผลลัพธ์ แต่ส่วนอื่นบนใบหน้าสามารถทำการยกกระชับได้เกือบทั้งหมด เช่น ร่องแก้ม รอบดวงตา แก้ม กรอบหน้า รวมไปถึงลำคอ และช่วงอก นอกจากนี้ยังสามารถลดเหนียงใต้คางได้อีกด้วย
และอย่างที่ได้เล่าไปแล้วว่าหลักการทำ Hifu คือการใช้คลื่นความถี่ยิงลงไปยังผิวหนังชั้น SMAS ซึ่งพลังงานความร้อนที่ยิงลงไปในผิวนั้นจะอยู่ในระดับ 45-70 องศาเซลเซียส จึงอาจทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่พอทนได้
ซึ่งนอกจากการยกกระชับใบหน้าแล้ว นวัตกรรม Hifu ยังถูกนำมาใช้กับการยกกระชับ “ช่องคลอด” ได้อีกด้วย โดยมีหลักการทำงานเช่นเดียวกับบนใบหน้า คือการกระชับช่องคลอดและปากช่องคลอด ผ่านการกระตุ้นให้เนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวทำการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินขึ้นมาใหม่ และมีการเรียงตัวที่ดีขึ้น จึงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้รับการฟื้นฟูนั่นเอง
ข้อห้ามหลังทำ Hifu กินอะไรได้บ้าง ออกกำลังกายได้ไหม
การดูแลตัวเองหลังทำ Hifu ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้อย่างเต็มที่เช่นกัน ดังนั้นแล้วเมื่อผิวหน้าของเราผ่านการทำ Hifu มา ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าให้ดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี โดยการทาสกินแคร์จำพวกมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อคงความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า และที่สำคัญคือการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้ง 3 ขึ้นไป เพราะรังสี UV ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของริ้วรอยบนใบหน้า
นอกจากนี้ผู้ที่ทำ Hifu มาแล้วต้องงดการสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่แอลกอฮอล์ด้วย แต่ยังสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ โดยอาจจะเน้นอาหารที่ช่วยสร้างคอลลาเจนให้กับผิว นอกจากนี้การหมั่นดื่มให้เหมาะสมต่อร่างกาย ยังมีส่วนช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในเซลล์ใหม่ได้ด้วย
ส่วนคำถามที่หลายคนสงสัยมากที่สุดว่า “หลังทำ Hifu ออกกำลังกายได้ไหม” ยังไม่มีผลการวิจัยบ่งชี้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าห้ามออกกำลังกายหลังทำ Hifu เพียงแต่ควรงดออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือกลางแดดจัด เพื่อให้คอลลาเจนใต้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเอง
ข้อดี และ ข้อเสีย ของการทำ Hifu
แน่นอนว่าการยกกระชับใบหน้าหรือลดเลือนริ้วรอย ผ่านวิธีที่ไม่ใช่กระบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ซึ่งทางเราก็ได้รวบรวมข้อดี และข้อเสียของการทำ Hifu มาฝากผู้อ่านทุกท่านเพื่อประกอบการตัดสินใจกัน
ข้อดี
- ไม่มีการใช้เข็ม จึงไม่ทำให้ผู้ใช้บริการมีอาการเจ็บระหว่างทำ แต่อาจจะรู้สึกอุ่น ๆ หรือร้อนเล็กน้อยบริเวณที่ทำ
- นอกจากช่วยยกกระชับใบหน้าแล้วยังช่วยลดริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง
- ลดปัญหาคางสองชั้น หรือเหนียงใต้คางเนื่องจากมีไขมันส่วนเกิน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็จะทำให้รูปหน้านั้นคมชัดมากยิ่งขึ้น
- เนื่องจากเป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ซึ่งมีความปลอดภัยสูง ในระหว่างการทำหัตถการจึงไม่เกิดการรบกวนผิวหนังชั้นนอก ทำให้หลังทำ Hifu แล้วจะไม่เกิดรอยแดงทิ้งไว้บนใบหน้า สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
ข้อเสีย
- เกิดอาการเมื่อยหรือตึงบริเวณใบหน้า แต่อาการเหล่านี้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติเมื่อผ่านการทำ Hifu ไปแล้วประมาณ 1-2 วัน แต่หากใครมีอาการเมื่อยตึงมาก ๆ ก็สามารถรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการได้
- หากเคยอุดฟันมาก่อนจะทำให้เกิดอาการเสียวฟัน เนื่องจากเป็นการปล่อยคลื่นความถี่ลงไปในเนื้อเยื่อผิวหนัง ซึ่งจะเป็นระดับเดียวกับรากฟัน หากเคยอุดฟันมาก่อนในบริเวณนี้ก็จะมีความไวต่อคลื่นสูง จึงอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้
Ulthera คืออะไร ราคาเท่าไร
Ulthera หรือ Ultherapy คือนวัตกรรมการยกกระชับใบหน้าโดยใช้คลื่นพลังงาน “อัลตราซาวด์แบบเดียวกับ Hifu” ซึ่งหลักการทำงานของ Ulthera นั้นไม่ต่างจาก Hifu มากนั้น คือการส่งผ่านคลื่นความถี่สูงอย่าง MFU-V (Microfocus Ultherasound with Visualization) ลงไปในผิวหนังชั้น SMAS
ซึ่งคลื่นดังกล่าวที่ว่ามานั้นจะเข้าไปทำปฏิกิริยาให้เนื้อเยื่อบริเวณที่ทำหัตถการมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วราว ๆ 60-70 องศาเซลเซียส ทำให้คอลลาเจนและเซลล์บางส่วนโดนทำลายและเกิดการหดตัวในทันที เพื่อเป็นกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่
โดยเมื่อทำการกระตุ้นผิวหนังแล้ว คอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ก็จะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น ช่วยส่งผลให้ผิวหนังบนใบหน้าหรือบริเวณที่ทำ Ulthera กระชับมากขึ้น ริ้วรอยดูจางลง และผิวก็เรียบเนียนอีกด้วย ซึ่งฟังดูแล้วก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับการทำ Hifu เลย
แต่การทำ Ulthera จะมีส่วนที่ต่างจากการทำ Hifu อยู่หลายจุด ซึ่งการทำ Ulthera จะมีจุดโฟกัสอยู่ที่ขนาด 1 มิลลิเมตร (ใหญ่กว่า Hifu) ทำให้พลังงานเกิดความเสถียรมากกว่า และยังมีหน้าจอให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถดูระดับความลึกของชั้นผิวที่ยิงคลื่นความถี่ลงไปได้
จึงนับว่าการทำ Ulthera นั้นมีความแม่นยำสูงกว่า Hifu ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วย โดยการทำ Ulthera จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่หลักหมื่น ในขณะที่ Hifu มีราคาเริ่มต้นที่หลักพัน
Ulthera อายุเท่าไหร่ถึงทำได้ ควรทำกี่ไลน์ ทำกี่วันเห็นผล
ด้วยประสิทธิภาพการทำงานของ Ulthera ที่ความคงที่และแม่นยำมากกว่า Hifu แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ที่ปัญหาเรื่องริ้วรอย หรือใบหน้ามีความหย่อนคล้อยมากทำ Ulthera จะดีกว่า ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 35-60 ปี
การทำ Ulthera กี่ไลน์นั้น จะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของผิวแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นคนประเมินให้เราเอง แต่โดยขั้นต่ำแล้วก็เริ่มต้นที่ 300 ไลน์เป็นปกติ และเมื่อทำแล้วก็จะเห็นผลลัพธ์ทันทีเหมือนการทำ Hifu แต่ผลลัพธ์เพียง 30% เท่านั้น โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไป 2-3 เดือนก็จะเริ่มเห็นผลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผลของการทำ Ulthera ยังสามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปี
ทำ Ulthera แล้วหน้าบวม ผิดปกติไหม อันตรายหรือเปล่า
Ulthera เป็นนวัตกรรมการยกกระชับผิวหน้าที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงองค์การอาหารและยาในประเทศไทยด้วย อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนังจากนานาประเทศ จึงมั่นใจได้ว่าการทำ Ulthera นั้นมีความปลอดภัยสูงมาก
แต่หลาย ๆ คนอาจกังวลเรื่องอาการบวมหลังทำ Ulthera ซึ่งต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปของการทำหัตถการบนใบหน้า แต่อาการบวมดังกล่าวนั้นจะสังเกตเห็นได้ยากมาก ๆ ไม่บวมเท่าการผ่าฟันคุด และเป็นอาการที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนด้วย แต่ถ้าหากว่าเรารู้สึกหน้าบวมหลังทำ Ulthera ก็สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมได้ เพียงแค่ 2-3 วัน อาการบวมก็จะหายไป
ส่วนปัญหาอื่น ๆ นอกจากนี้อย่างเช่นอาการผิวแห้งหลังทำ Ulthera มีสาเหตุมาจากยาชา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หลังทำ Ulthera ให้บำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์จำพวกมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และอย่าลืมทากันแดด งดการออกแดดจัด และงดสกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของไวท์เทนนิ่งและส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูคอลลาเจนอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงปฏิบัติตามข้อห้ามอื่น ๆ ที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
ข้อดี และ ข้อเสีย ของการทำ Ulthera
การทำหัตถการบนใบหน้าล้วนมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน แม้การทำ Ulthera จะเป็นการยกกระชับใบหน้าด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย ก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดนทางเราก็ได้รวบรวมมาให้ผู้อ่านได้ศึกษาและตัดสินใจว่าตนเองเหมาะกับดูแลผิวหน้าแบบไหน
ข้อดี
- ช่วยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า และทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนมากขึ้น เหมือนการทำ Hifu
- ยกกระชับผิวได้ดีมากขึ้น เนื่องจากมีจุดโฟกัสที่ใหญ่กว่า
- การรักษาเป็นไปอย่างแม่นยำ เนื่องจากเอกสิทธิ์เฉพาะของการทำ Ulthera จะมีหน้าจอแสดงภาพใต้ชั้นผิวหนัง
- ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานตั้งแต่ 1-2 ปี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน
- ไม่ต้องพักฟื้น เช่นเดียวกับการทำ Hifu สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
ข้อเสีย
- เนื่องด้วยการทำ Ulthera นั้นมีความแม่นยำสูง ราคาของคุณภาพที่ได้มาก็ย่อมสูงตามไปด้วย
- มีอาการเจ็บระหว่างการทำ Ulthera แต่ทั้งนี้แพทย์จะใช้ยาชาก่อนทำการรักษา
- อาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ เช่น อาการบวม แดง ผื่น ระบม แต่อาการเหล่านี้ก็สามารถหายได้ภายใน 1 ชั่วโมง หรือ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ข้อแตกต่างระหว่าง Hifu vs Ulthera
Hifu กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร สรุปข้อแตกต่างจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมา การทำหัตถการทั้งสองแบบนั้นมีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือการยกกระชับใบหน้า ลดเลือนริ้วรอย และช่วยให้ผิวเรียบเนียน แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างกันดังนี้
- Hifu เริ่มต้นหลักพัน ราคาถูกกว่า Ulthera ที่เริ่มต้นหลักหมื่น
- Hifu เจ็บน้อยกว่า Ulthera
- Hifu ผลลัพธ์ระยะสั้นกว่า (4 เดือน ถึง 1 ปี) ขณะที่ Ulthera 1-2 ปี
- Hifu เหมาะกับคนอายุ 25-40 ปี หรือคนที่มีริ้วรอยไม่มาก Ulthera เหมาะกับคนอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีริ้วรอยมาก
- Ulthera ผ่านการรับรองจาก US FDA ขณะที่ Hifu ยังไม่ผ่านการรับรองจาก US FDA
- Ulthera มีจอภาพแสดงผลใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้การรักษาแม่นยำมากกว่า Hifu
Hifu กับ Ulthera อย่างไหนดีกว่ากัน
แม้การทำ Hifu และ Ulthera จะใช้นวัตกรรมในการยกกระชับใบหน้าแบบเดียวกัน แต่การส่งพลังงานหรือยิงคลื่นความถี่นั้นมีจุดโฟกัสขนาดไม่เท่ากันตามที่ได้อธิบายไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างชัดเจนว่าการทำหัตถการแบบไหนดีกว่า เพราะปัจจัยในการเข้ารับการรักษาขึ้นอยู่กับความสะดวกและปัญหารูปหน้าของผู้รักษาเอง ซึ่งทั้งการทำ Hifu และ Ulthera ต่างก็ช่วยแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะต่างกันเล็กน้อยในบางรายละเอียด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของตัวผู้ใช้บริการ ซึ่งควรจะเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน เพื่อประเมินว่าสามารถทำได้หรือไม่ และควรทำ Hifu หรือ Ulthera มากกว่ากัน
และข้อมูลทั้งนี้ก็คือความแตกต่างระหว่าง Hifu กับ Ulthera ซึ่งไม่ว่าผู้อ่านจะเลือกการรักษาแบบไหน สิ่งสำคัญที่คำนึงถึงคือมาตรฐานของสถานพยาบาลที่ทำ และผู้ทำต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากทั้งสองอย่างเป็นการใช้พลังงานความถี่สูงยิงเข้าชั้นผิวระดับลึก จึงมีความเสี่ยงสูงที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้รักษาได้
แนะนำคลินิก ทำ Hifu ที่ไหนดี ?
การทำหัตถการใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น Hifu หรือ Ulthera จำเป็นต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำเท่านั้น ซึ่งทาง บีแฮปเวลเนส คลินิก ก็มีบริการยกกระชับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน ทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มาพร้อมด้วยราคาหลากหลายรูปแบบ เหมาะกับคนที่มีปัญหารูปหน้าตั้งแต่เล็กน้อย ไปจนถึงการยกกระชับทั้งใบหน้า หากใครสนใจก็สามารถติดต่อได้ตามช่องทางดังนี้
- ที่อยู่ : 2/4 ถ. วิทยุ แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
- แผนที่ : กดที่นี่
- เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.
เรื่อง : โมทนา ม่วงเตี้ย
บรรณาธิการ : ทศพล ถิรเจริญสกุล
- มีคำตอบ ‘ฉีดโบท็อก’ อายุเท่าไหร่ฉีดได้ ฉีดตรงไหนได้บ้าง เรื่องน่ารู้สำหรับคนอยากหน้าเรียว
- สีเล็บมงคล 2565 ประจำราศี แนะ ‘ทาเล็บเสริมดวง’ ยังไง เสริมโชคให้ปัง ๆ
- 8 วิธี ปรับรูปหน้าเรียว วิธีไหนเริ่ด มีคำตอบ แนะนำ ทำหน้า V Shape ที่ไหนดี