DES เผย ปี 2564 อาชีพครูแชร์ ‘ข่าวปลอม’ มากสุด จากทั้งหมด 23 ล้านคน
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) เปิดเผย ข้อมูลสถิติ ข่าวปลอม ภายในปี 2564 โดยพบว่ามีคนแชร์ข่าวปลอมถึง 23 ล้านคน กลุ่มอาชีพครู แชร์ข่าวปลอมมากที่สุด
รมว.ดีอีเอส เปิด ข้อมูลสถิติ ข่าวปลอม ปี 2564 เชิงลึกจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พบยอดสะสมจำนวนผู้แชร์ข่าวปลอมมากกว่า 23 ล้านคน อายุ 18-24 ปี หัวแถวผู้โพสต์และแชร์ข่าวปลอม ด้านกลุ่มอาชีพที่เข้าข่ายเผยแพร่มากสุด คือกลุ่มผู้สื่อข่าวเพราะประชาชนเชื่อถือ เปิดโรดแมปปี 65 ปูพรมสร้างการรับรู้เน้นกิจกรรมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ตั้งแต่ระดับเยาวชน จนถึงเครือข่ายภาคประชาชน
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส/DES) กล่าวว่า จากการติดตามข่าวสาร และการสนทนาบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับข่าวปลอม ตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมวันที่ 1 พ.ย 62 ถึง 23 ธ.ค 64 มีจำนวน ผู้โพสต์ข่าวปลอม 1,167,543 คน และจำนวนผู้แชร์ข่าวปลอม 23,785,145 คน
โดยช่วงอายุของผู้โพสต์และแชร์มากที่สุด คือ
อายุ 18-24 ปี คิดเป็นสัดส่วน 54.5% ขณะที่อายุ 55-64 ปี มีพฤติกรรมแพร่กระจายข่าวปลอมต่ำสุด คิดเป็น 0.1%
สำหรับกลุ่มอาชีพที่สนใจประเด็นข่าวปลอมมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ
– กลุ่มผู้สื่อข่าว คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 16.7% เนื่องมาจากเป็นกลุ่มอาชีพที่ประชาชนให้ความสนใจ และเกิดเชื่อถือในการเผยแพร่มากที่สุด
– กลุ่มผู้จัดการ/ผู้บริหาร 9.3%
– ผู้ประกอบกิจการต่างๆ 8%
ขณะที่ กลุ่มอาชีพของผู้แชร์ข่าวที่เข้าข่ายเป็นข่าวปลอมมากที่สุด 3 อ้นดับแรก ได้แก่
– กลุ่มอาชีพคุณครูอาจารย์ 14.0% ตามมาด้วย
– กลุ่มนักเรียน นักศึกษา
– กลุ่มอาชีพช่างภาพ 9.4%
– กลุ่มอาชีพวิศวกร 7.0%
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า “ทั้งนี้ เราต้องขอขอบคุณสำนักข่าว และอินฟลูเอนเซอร์หลายราย ที่สนับสนุนการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องไปยังประชาชน และสาธารณะในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง”
โดยในรอบปี 64 มีรายชื่อสำนักข่าว และ Influencer ที่ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมากสุด 10 อันดับแรก ดังนี้ ไทยรัฐ จส.100 มติชน บางกอกโพสต์ FM91 Trafficpro ข่าวจริงประเทศไทย ฐานเศรษฐกิจ News.ch 7 โพสต์ทูเดย์ และคมชัดลึก ตามลำดับ
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินการของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (วันที่ 1 พ.ย. 62 – 23 ธ.ค. 2564) มีข้อความข่าวที่ต้องคัดกรอง 455,121,428 ข้อความ หลังจากคัดกรองพบข้อความข่าวที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 13,262 เรื่องแบ่งเป็น โดยหมวดหมู่สุขภาพ 6,855 เรื่อง ตามมาด้วย หมวดหมู่นโยบายรัฐ 5,865 เรื่อง หมวดหมู่เศรษฐกิจ 282 เรื่อง และหมวดหมู่ภัยพิบัติ 260 เรื่อง
ด้านนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเริ่มจัดเก็บข้อมูลการเปรียบเทียบ Trend ของหมวดหมู่ข่าวทั้ง 4 หมวด โดยระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 63 – 23 ธ.ค. 64 พบว่า
1. หมวดนโยบาย
มีแนวโน้มสูงสุด มียอดเฉลี่ยการพูดถึง 53,017 ครั้งต่อวัน คิดเป็น 46.77% โดยพบว่าข่าวปลอมสูง ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากเป็นช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายออกมาเพื่อเยียวยาให้กับประชาชน มียอดการพูด การสนทนา การโพสต์ บทความ ถึงนโยบายเยียวยา การแชร์ข้อมูลความถี่สูงขึ้น
2. หมวดหมู่สุขภาพ
มียอดเฉลี่ยการพูดถึง 29,329 ครั้งต่อวัน คิดเป็น 25.87% พบว่าข่าวปลอมสูงในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เช่นกัน โดยคาดการณ์ในอนาคต มีแนวโน้มว่า หากมีการพบโรคระบาดใหม่ก็เป็นไปได้ว่าจะมีการนำประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพการรับประทาน การรักษาด้วยตนเองมาบิดเบือนและแชร์ข้อมูล เกิดความเข้าใจผิดวนซ้ำได้อีก
3. หมวดหมู่เศรษฐกิจ
มียอดเฉลี่ยการพูดถึง 15,966 ครั้งต่อวัน คิดเป็น 14.09% พบข่าวบิดเบือน และข่าวปลอมในช่วงที่มีการปรับ เปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าอุปโภคและบริโภค ส่วนหมวดหมู่ภัยพิบัติ มีแนวโน้มที่จำนวนการพูดถึงเฉลี่ย 15,042 ครั้งต่อวัน คิดเป็น 13.27% โดยพบข่าวปลอมสูงในบางช่วง ในสถานการณ์วิกฤตช่วงเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ กระแสข่าวเกี่ยวกับมีผู้ประสบภัยพิบัติของทั้งในและต่างประเทศ
นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวว่า ในปี 65 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม จะมุ่งเน้นกิจกรรมให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยครอบคลุมตั้งแต่ระดับเยาวชน จนถึงเครือข่ายภาคประชาชน โดยกลุ่มเป้าหมายนักเรียน นักศึกษา ได้จัดกิจกรรมจัดประกวดการผลิตคลิปวีดีโอสั้น เพื่อสร้างการรับรู้เพื่อรู้เท่าทันและรับมือกับข่าวปลอม ทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาทีมละ 80,000 บาท เปิดรับผลงาน ช่วง ม.ค. 65 – มี.ค 65 และประกาศผล พ.ค. 65 โดยทุกคลิปวิดีโอที่ได้รับรางวัลจะได้รับการเผยแพร่ผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงบนสถานีโทรทัศน์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาข่าวและข้อมูลปลอม ที่มีการเผยแพร่ส่งต่ออยู่บนสื่อสังคมออนไลน์อยู่เป็นจำนวนมาก และมีผู้กระทำผิดอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจสอบ
พิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง และการดำเนินการติดตามตัว มาดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงได้ จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและความมั่นคงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ANSCOP เพื่อให้การควบคุม กำกับดูแล สั่งการ และบริหารราชการ ให้เป็นเอกภาพ ภายใต้ยุทธศาสตร์และมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่ชัดเจน พร้อมกันนี้ ได้กำหนดให้มีการจัดตั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและความมั่นคงของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาค 1-9 เพื่อให้การปฏิบัติงานครอบคลุมพื้นที่และสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาข่าวและข้อมูลปลอมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือANSCOP มีการบูรณาการประสานงานกับกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาข่าวและข้อมูลปลอมอย่างต่อเนื่อง โดยมีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งประเทศไทย หรือ AFNC รับผิดชอบในการรับเรื่อง ติดตาม ตรวจสอบข้อมูลข่าวที่อาจมีลักษณะปลอมหรือบิดเบือนอยู่ตลอดเวลา มีการประสานงานกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมทุกส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อตรวจสอบและยืนยันข่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อได้รับการยืนยันว่าเป็นข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือนแล้ว ก็จะส่งต่อข้อมูลดังกล่าวมายัง
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และความมั่นคงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ANSCOP เพื่อดำเนินการพิจารณาความผิดตามหลักกฎหมายที่กำหนดไว้ อาทิ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หากเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายจะดำเนินการพิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำผิด เมื่อผู้เสียหายได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวน ติดตามจับกุม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผลการปฏิบัติงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและความมั่นคงสำนักงานตำรวจชาติ หรือ ANSCOP ในรอบ 8 เดือน ( 1 พ.ค. จนถึง ปัจจุบัน) พบว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งประเทศไทย หรือ AFNC ได้ส่งโพสต์ที่ตรวจพบและตรวจสอบแล้วได้รับการยืนยันว่าเป็นข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน จำนวน 1193 ราย (Urls) มีโพสต์ที่เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการพิสูจน์ทราบผู้กระทำผิดแล้ว จำนวน 287 ราย (Urls) ซึ่งมีผู้เสียหายได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดแล้ว จำนวน 53 คดี ซึ่งอยู่ในระหว่างสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน และทำสำนวนคดี ส่งฟ้องตามกระบวน
การยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ดำเนินการตักเตือน ให้แก้ไขข่าวหรือลบโพสต์ จำนวน 36 ราย ตามที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่จะทำได้ในกรณีข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน ที่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด 19 ที่ไม่รุนแรง อีกทั้งยังได้ขึ้นบัญชี ที่ต้องเฝ้าติดตามผู้ที่มีพฤติการณ์โพสต์ข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน จำนวน 906 ราย (Urls)
หากพบมีการโพสต์ข่าวหรือข้อมูลปลอม ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ในขณะเดียวกันผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังมีนโยบายให้จัดตั้งศูนย์วิเคราะห์ข่าว ของ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. เพื่อปบัติการชี้แจงและตอบโต้ข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้หยุดเคลื่อนไหวหรือลบโพสต์ ที่ไม่ถูกต้องหรือเข้าข่ายผิดกฎหมาย โดยการเข้าไป ติดต่อด้วยความสุภาพ แจ้งข้อมูลที่ถูกต้องจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแพร่กระจายของข่าว ที่อาจปลอมหรือบิดเบือน ไปบนสื่อสังคมออนไลน์ในวงกว้าง โดยที่ผ่านมามีผลการดำเนินการแล้ว จำนวน423 ราย (Urls) ทำให้ผู้โพสต์หยุดเคลื่อนไหวหรือมีการลบโพสต์ดังกล่าว
ฝากความห่วงใยให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่ระมัดระวัง หรือไม่ไตร่ตรองข้อมูลให้รอบด้าน อาจตกเป็นเหยื่อเกิดความเสียหายได้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ อย่าให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เสมือนกับ “การฉีดวัคซีนให้กับประชาชน” แต่หากมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดอาศัยใช้ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ในการกระทำความผิด ทั้งการหลอกลวงฉ้อโกง การนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ปลอม หรือบิดเบือน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน สังคม เศรษฐกิจของประเทศ จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และขอฝากข้อคิดสำหรับพี่น้องประชาชน ในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ว่า ขอให้ท่านระลึกอยู่ตลอดเวลา เมื่อใช้สื่ออนไลน์ “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” ทุกท่านจะปลอดภัยจากการถูกฉ้อโกง หลอกลวง บนสื่อสังคมออนไลน์อย่างแน่นอน
นางสาวอัจฉรินทร์ กล่าวปิดท้าย “ในปีหน้า เราจะเดินหน้าขับเคลื่อนการสร้างการรับรู้ เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่อง และรณรงค์ต่อต้านการเผยแพร่ข่าวปลอม เพื่อให้ประชาชนได้ใช้งานบนสื่อสังคมออนไลน์อย่างปลอดภัย และรู้เท่าทันสื่อในยุคดิจิทัล ตลอดจนมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหาข่าวปลอม สร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับสังคม โดยเจาะกลุ่มเป้าหมาย อาทิ กลุ่มสมาคมวิทยุสื่อสาร กลุ่ม อสม. และกลุ่ม อสด.”
แหล่งที่มาของข่าว : รัฐบาลไทย
สามารถติดตามข่าวทั่วไปเพิ่มเติมได้ที่นี่ : ข่าวทั่วไป
- ทหารเรือเมากร่าง ผบ.ทร. ผบ.ฐานทัพเรือสัตหีบ ร่วมธำรงวินัย แสดงความรับผิดชอบ
- สยอง! สธ. คาด สถานการณ์โอมิครอนปี 65 แย่สุดติดเชื้อ 3 หมื่นราย