ข่าวดาราบันเทิง

แตงโม รับมีปัญหากับแม่จนถึงขั้นย้ายบ้านหนี!

เปิดใจ ‘แตงโม นิดา’ รับเคยมีปัญหากับ แม่ จนถึงขั้นย้ายบ้านหนี เผย กว่าจะมาคิดได้ก็ตอนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ในวอร์ดจิตเวช

แตงโมนิดาเคยย้ายบ้านหนีแม่ – เป็นอีกหนึ่งดาราที่สู้ชีวิตเลยก็ว่าได้สำหรับเรื่องราวของนักแสดงสาว ‘แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์’ ที่ล่าสุด (23 ส.ค.) เจ้าตัวได้ควงคุณแม่มาเปิดใจให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ผ่านรายการ ‘คุยแซ่บshow’ ทางช่อง ‘วัน 31’ เผย

Advertisements

คุณพ่อ คุณแม่แยกทางกันตั้งแต่ 3 ขวบ ?

แตงโม: ใช่ค่ะ ตอนนั้นถามว่ารู้ไหม ก็ยังงง ๆ ก็จะพอทราบอยู่ว่าคุณพ่อ คุณแม่มีปากเสียง สักพักก็จะคิดว่าทำไมเหลือแต่คุณพ่อคนเดียว จนโตขึ้นมาหน่อยถึงรู้ว่าคุณพ่อ คุณแม่แยกทางกัน

แล้วช่วงที่ขาดการติดต่อกับคุณแม่ไป ช่วงวัยไหน ?

แตงโม: น่าจะเป็นช่วงที่เข้าวงการมาแล้วสักพัก ที่ห่างกับคุณแม่เพราะว่าตอนนั้นคุณแม่ก็มีครอบครัวด้วย คุณแม่แต่งงานกับคุณท่านนึง ซึ่งเราเองก็อยากให้เกียรติด้วยที่จะไม่เอ่ยถึงเขา เพราะว่าเขาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว

มีอยู่พักนึงที่แม่กับพ่อพยายามคืนดีกัน แต่ว่าไปไม่รอด ?

Advertisements

แม่: ใช่ค่ะ ตอนนั้นพยายามอยู่นานพอสมควร ก็มีข้อแม้ว่าคุณพ่อต้องเลิกสูบบุหรี่ คุณพ่อทำไม่ได้ เพราะว่าน้องเป็นโรคภูมิแพ้เลย แต่คุณพ่อทำไม่ได้ ให้ทำเพื่อลูกนะ ไม่ได้ทำเพื่อเรา เขาทำไม่ได้แล้วเขาไม่ทำ ก็จบ ชีวิตเขาก็คงอยู่กับบุหรี่

ตอนนั้นมีโอกาสได้กลับมาคืนดี กลับมาคุยกันนานไหม ?

แม่: ไม่ดี ไม่นาน

แตงโม: น้องประมาณ 5 ขวบ

แม่: แม่ขี้รำคาญ ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง

แตงโม: คุณแม่จะเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก คือเป็นสาวไทยที่หัวโบราณ อยู่กับคุณแม่ คุณแม่จะบอกว่าห้ามเคี้ยวเสียงดัง ห้ามนั่งกระดิกขา เวลาไปที่ไหนห้ามจับบันไดเลื่อน

คือทะนุถนอมเหมือนลูกสาวในฝัน โตมาอยากให้ลูกไปเรียนเปียโนบ้าง เรียนอะไรที่เป็นผู้หญิง เราก็ไปลองทำทุกอย่างที่คุณแม่อยากให้ทำ แต่ด้วยความที่เราเองไม่ได้ใจรักขนาดนั้น โมเป็นผู้หญิงแมน ๆ ก็เลยไม่สำเร็จสักอย่าง

แล้วทำไมตอนเด็ก ๆ ถึงย้ายบ้านหนีแม่ ?

แตงโม: คุณแม่มีครอบครัวใหม่ ตัวโมเองก็ทำงานค่อนข้างเยอะมาก ๆ เพราะฉะนั้นโอเค เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า คือเราคิดเอง เราไปดีกว่า โดยที่ไม่ได้บอกอะไรคุณแม่เลย ตอนนั้นเป็นช่วงที่ตัวโมเองยังเป็นวัยรุ่นที่ยังคิดไม่ได้ รู้สึกว่าคุยกันทีไรไม่ค่อยรู้เรื่อง ทัศนคติไม่ค่อยลงรอยก็เลยหนี

พอลูกหนี แม่ตามหาไม่เจอ เรารู้สึกยังไงบ้าง ?

แม่: ก็ต้องตามจนเจอ ตามไปเขาใหญ่ ช่อง 7 ตามคอนโดต่าง ๆ ที่อยู่ในซอกซอย บางที่ไม่ได้เจอตัว แต่เจอข้าวของ แค่นั้นก็สบายใจว่าเขาอยู่ตรงนี้นะ

แตงโม นิดา

รู้ไหมว่าแม่เขาตาม ?

แตงโม: ตอนแรกไม่ได้รู้อะไร แต่มีอยู่วันนึงถ่ายละครอยู่ เมื่อก่อนการที่ช่องจะเรียกเราเข้าไปแสดงว่าเราต้องทำอะไรผิดมากแน่ ๆ เลย เขาเรียกว่าห้องดำ ภัทรธิดา

พอดีคุณแม่มาตามหาที่ช่อง เราก็เอาแล้วทำยังไงดี โมก็คิดว่าคุณแม่ไปทำอะไรที่ช่องทำไมไม่มาหาตามกองถ่าย โมเสียวเลยว่าโมทำอะไรผิดหรือเปล่า วันนั้นโมต้องถ่ายละครต่อ เลยโทรศัพท์คุยกัน

ที่บอกว่าตามเจอทุกครั้ง นั่นแปลว่าหนีหลายครั้ง ?

แตงโม: จริง ๆ มันก็ไม่ได้มาก ประมาณ 2 ครั้ง

แม่: พ่อพาหนี ไม่ใช่น้องโมหนีเอง

ตอนเด็กที่เราหนีแม่ไปกับพ่อ มีแอบคิดไหมว่าแม่ไม่รักเรา ?

แตงโม: อันนี้เป็นปมตั้งแต่เด็ก ๆ เลย ด้วยความที่คุณแม่มีพี่ชายมาก่อน แต่คนละคุณพ่อกัน เราจะคิดว่าคุณแม่รักพี่ชายมากกว่า เพราะว่าเขาเป็นลูกคนแรกและเป็นลูกชาย เรามีความรู้สึกว่าทำไมคนสองคนมีลูก แต่ทำไมไม่ยอมดีกันเพื่อลูก

เรามีความรู้สึกว่าทำไมผู้ใหญ่สองคนนี้เขาไม่ได้รักเราจริงเหรอ ถ้าเขารักเราจริง เขาต้องทนอยู่กันได้เพื่อลูก อันนี้คือความคิดของตอนที่เป็นเด็ก แต่พอเราโตขึ้นมาพอที่จะรู้ความแล้ว เริ่มมีแฟน ได้ประสบการณ์ความรักของตัวเอง และจากการที่เรามีลูกเอง เราจะเข้าใจแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ

แม่รู้ไหม ตอนเด็ก ๆ เขาคิดแบบนี้ ?

แตงโม: รู้ ๆ แต่แม่ไม่อยากทำลายครอบครัว คือคุณพ่อรักเขามาก ดูแลทุกอย่างไปรับ ไปส่งกองถ่าย เขาอยู่กับพ่อก็ดีกว่าไปอยู่กับคนอื่น เราก็ปล่อยเขาไป แต่ขอแค่เราตามให้เจอ แค่นั้น

อายุเท่าไหร่ ตอนที่เราเริ่มคิดได้ ?

แตงโม: ตอนนั้นน่าจะประมาณ 16 คือไม่ต้องการให้คุณพ่อ คุณแม่มาดีกันแล้ว มีความรู้สึกแบบนั้น เพราะถ้ามาทะเลาะให้เราเห็น เราจะเป็นคนที่ได้รับพลังลบคนเดียวเลย

นานขนาดไหนที่พี่โมกับคุณแม่ แยกออกจากกัน ไม่ติดต่อกันเลย ?

แตงโม: เคยเกินปีนะ 3 ปีเคยมี

แม่: ไม่ได้คุย ไม่ได้เจอ คุยแต่โทรศัพท์

แตงโม นิดา

แล้วมันกลับมารักกัน สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

แตงโม: สมัยก่อน เราก็กำหนดไว้ชัดเจนว่าเราอยู่กับพ่อ เจอกับคุณแม่เป็นบางครั้ง มีอยู่ช่วงนึงประมาณ 1-2 ปีที่แล้ว โมไม่สบายมาก ๆ คือโมเป็นซึมเศร้าหนักมากในช่วงที่คุณพ่อก็เพิ่งเริ่มป่วย แล้วโมมีเรื่องส่วนตัวที่โมเจ็บหนักมาก และเสียใจมาก ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง โมก็เลยไปโรงพยาบาล อยู่ในวอร์ดจิตเวชประมาณ 7 วัน โมรู้สึกว่าอยู่ในนั้นคล้าย ๆ อยู่ในคุกดี ๆ นี่แหละ ทุกอย่างสื่อสารกันไม่ได้

ห้ามคนไข้คุยกัน แล้วมีความรู้สึกว่าตอนนั้นไม่รู้นึกอะไร อยากโทร าคุณแม่ อยากบอกคุณแม่ว่าเราไม่สบายนะ เพราะว่าคุณพ่อก็มาเยี่ยมทุกวันอยู่แล้ว แต่ว่าแม่ยังไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองเป็นอะไร เพราะฉะนั้นขอคุณพี่พยาบาลว่าขอโทร. หาคุณแม่หน่อย โมจะบอกไว้เลยว่าใครบ้างที่โมจะให้เข้าเยี่ยม แล้วใครบ้างที่โมจะรับสายหรือโทร. ออก โมก็โทร. หาคุณแม่ บอกคุณแม่ว่าน้องไม่สบาย

แม่: แม่ไม่คิดว่าเขาจะป่วยหนักขนาดนี้ที่จะต้องพบหมอจิตเวช พอไปก็เห็นห้อง เห็นบรรยากาศ ตกใจนี่ลูกเราเป็นถึงขนาดนี้เลยเหรอ ก็เข้าไปกอดเขา คุยกันยาวมากตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน

แตงโม: เราคุยกัน แล้วคุณแม่ก็เล่าบางเรื่องที่เราไม่เคยรู้ในสมัยเด็ก แล้วเรารู้สึกว่าแม่รักเรานะไม่ใช่ไม่รัก แล้วก็เป็นห่วงเรามาก ๆ โมรู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นในความป่วยของเรา ในวิกฤตของเรา โมรู้สึกว่าพระเจ้าต้องทดสอบอะไรเราอยู่ ให้บททดสอบที่ค่อนข้างจะหนักมาก ๆ แต่โมรู้สึกว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าต้องการให้เราได้อะไรจากตรงนั้น โมเลยรู้สึกว่าจากเหตุการณ์แย่ ๆ ในวันนั้น โมได้แม่คืนมาทั้งคน โมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่คุ้มมาก

แสดงว่าชีวิตเราเพิ่งจะเปลี่ยนได้ 2-3 ปีนี้เอง ?

แตงโม: ใช่ค่ะ เพิ่งกลับมาสนิทกับคุณแม่ เมื่อก่อนเหมือนสนิทกันในความรู้สึกแม่ลูก รู้ความเป็นมา เป็นไปของกันและกันแบบห่าง ๆ แต่ไม่ลึกมากเท่ากับ 2-3 ปีที่ผ่านมาคือในช่วงปลดล็อกที่โมอยู่โรงพยาบาล และอีกครั้งเป็นช่วงที่คุณแม่มาหาตอนที่คุณพ่อไม่สบาย คุณแม่มาอยู่กับคุณพ่อแทบทุกวัน แล้วโมมีความรู้สึกว่านี่แหละภาพที่โมอยากเห็น แล้วสุดท้ายคนที่เคยรักกัน เขาเป็นห่วงเป็นใยกัน แล้วโมรู้สึกว่ามันมีวาระของมันที่จะเกิดในสิ่งที่เราอยากให้เกิด

แตงโม นิดา

รับชมรายการ คุยแซ่บshow คลิก

 


ภาพ: YouTube Orange Mama

Vanrasa J.

นักเขียนข่าวสายบันเทิงไทย ฮอลลีวูด เกาหลี และต่างประเทศ อัปเดตคอนเทนต์ข่าวสารเกี่ยวกับดารา หนัง ซีรีส์ เพลง แฟชั่นและความงาม ร้อยเรียงเรื่องราวผ่านมุมมองความสร้างสรรค์และน่าสนใจ การันตีด้วยประสบการณ์มากกว่า 2 ปี ประเด็นไหนที่ติดเทรนด์จะต้องมีชื่อของ The Thaiger ร่วมตีแผ่เสมอ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button