หนุ่มแชร์ประสบการณ์ชวนขนลุก ขับมอเตอร์ไซค์ขึ้น ‘แม่กำปอง’ กลางดึก
ชาวเน็ตรายหนึ่งเผยประสบการณ์ขณะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยว แม่กำปอง ซึ่งนอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงามแล้ว ยังมีเรื่องลี้ลับด้วย
ผู้ใช้ Facebook ชื่อ Wan Racings แบ่งปันเรื่องราวขณะไปเที่ยวที่ แม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ ว่านอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม เหมาะแก่การไปพักผ่อนแล้ว เขายังพบกับประสบการณ์สุดหลอน ที่ยากจะลืมเลือน
“ว่าจะไม่พูดและพยายามลืมไม่เล่าให้ใครฟัง หลังจากที่ผมไปแม่กำปอง มีคนทักมาหาผมเยอะมากว่าอยากไปบ้าง ขอรีวิวเลยครับเป็นที่ที่เหมาะมาก ๆ สำหรับไปพักผ่อนแบบพักผ่อนจริง ๆ แต่อย่าขึ้นทางแจ้ซ้อนผมขอเตือนเลยถ้าไม่อยากเจอแบบผม ถ้าจะไปแม่กำปองแนะนำให้ขึ้นทางสันกำแพงนะครับอย่าเชื่อ GPS ถ้ามีคนสนใจอยากรู้ว่าผมเจออะไรทักมาครับผมจะเล่าให้ฟัง
คือตอนที่ผมไปแม่กำปองออกจากพิษณุโลกเที่ยงกว่าแล้ว กะว่าไปถึงแม่กำปองซัก 5-6 โมงเย็น แล้วไปกางเต็นท์ แต่สรุปรถเวสป้ามันต้องขี่ไปพักไป ไหนจะของที่แบกมาชอบตกอีกเลยทำให้กินเวลานาน
ตัดมาตอนที่ถึงแถวๆทางขึ้นเลยละกัน มันจะมีเซเว่นอยู่แถว ๆ ทางแยกก่อนถึงทางขึ้นแม่กำปอง ผมเลยเข้าไปซื้อของเพิ่มเติมเพื่อที่จะเอาไปตั้งแคมป์ พอช่วงที่กำลังจะจ่ายตังค์ผมก็ได้ถามพี่พนักงานเซเว่นว่า “พี่ครับแม่กำปองนี่ไปอีกไกลไหม” พี่พนักงาน เค้าก็บอกว่าประมาณ50กว่ากิโล แต่พี่แนะนำให้น้องหาที่นอนแถวนี้ก่อนแล้วตอนเช้าค่อยขึ้นไปแม่กำปอง
ผมเลยถามพี่เค้าไปว่าทำไมหรอครับพี่ พี่พนักงานเค้าบอกว่าทางขึ้นมันมืดมาก โค้งเยอะ มีเหวลึกด้วย มีคนตายบ่อย แล้วก็ไม่มีไฟส่องสว่างเลยซักดวงนะน้อง เมื่อไม่นานก็พึ่งมีรถนักท่องเที่ยวตกลงไปในเหว มันอันตรายมากนะน้อง แล้วน้องมาคนเดียวด้วย พี่ว่ารอขึ้นตอนเช้าจะดีกว่า “ทำไมน้องมาทางนี้หละปกติไม่ค่อยมีคนมานะ เค้าขึ้นทางสันกำแพงกัน” (ผมตามGPSมาครับพี่)
ด้วยความที่เป็นผมไง คิดในใจเอาว้ะมาขนาดนี้แล้วมันจะซักแค่ไหน คงไม่แย่ขนาดนั้นหรอก ขี่รถออกมาได้ซักพักนึงจนถึงทางแยกขึ้นแม่กำปอง ฝั่งแจ้ซ้อน ผมก็คิดในใจว่าโห ทางแค่นี้เนี้ยนะ ที่พี่เค้าบอกว่าน่ากลัว ตอนนั้นเฉย ๆ มากเพราะมันไม่มีไฟก็จริงแต่มันยังมีบ้านคนอยู่ ก็เลยบิดรถขึ้นไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 กิโลแรก จากทางแยกที่ขึ้นมา บ้านคนก็เริ่มค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ จากที่เห็นบ้านคนติดกัน 3-4 หลัง ก็เริ่มเห็นแค่ 1 เดียวบ้าง ไม่เห็นบ้าง ก็เริ่มคิดในใจละว่า เอาแล้ว หรือว่าที่พี่พนักงานเซเว่นเค้าพูดมันจะจริงว้ะ ขี่ไปได้ซักพักก็เหมือนว่า ทางมันจะเริ่มชันขึ้นไปเรื่อย ๆ สัญญาญก็ไม่ดีขาด ๆ หาย ๆ บ้าง ผมก็เลยกัดฟันสู้ต่อเอาว้ะ อย่าไปกลัว
เวลา 1 ทุ่ม ผมก็ได้ยินเสียงของหล่นจากท้ายรถ ผมเลยจอดดู ใช่ครับถังน้ำมันท้ายรถมันตกลงมา แต่ก็แอบงงนะ เพราะว่าผมมัดไว้แน่นมาก ตอนที่ของตกอารมณ์เหมือนมีคนดึงกระชากจนรถโยก ในใจผมก็เริ่มกลัวละ
ก็เลยดู GPS โห่เรามาไกลเกินจะกลับไปแล้ว ต้องเอาว้ะ ลุยต่อ
ผมยกมือท่วมหัวไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ผมอย่าเจออะไรที่ไม่ดีเลย ผมมาคนเดียวอย่าแกล้งผมเลย ผมก็เลยขี่ไปได้ซักพัก เหมือนภาพมันช้าลง (เหมือนขี่อยู่ในป่าช้า) จากความเร็วที่ขี่มาตอนแรก 60-70 km/h
แต่ตอนนี้บิดจนหมดปลอกแล้วได้แค่10-15 ผมวังเวง มันเงียบมาก เงียบจนผมได้ยินเสียงหายใจของผมเองในหมวก กับเสียงเครื่องที่เหมือนพร้อมจะดับอยู่ตลอดเวลา
ภาพในหัวเริ่มผุดขึ้นมา เห็นในข่าวที่เค้าดักจี้ดักปล้นกันตามป่าตามเขากัน ผมก็นึกอย่าให้เจอแบบนั้นเลย ดันไปนึกเรื่องผีอีก (ไม่รู้จะนึกทำไม) พอมาถึงช่วงที่เลี้ยวโค้งหักศอก แสงไฟหน้ารถผมก็สาดไปตรงมุมโค้ง
ทำให้หางตาผมเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง เป็นเงาดำ ๆ เหมือนคนยืน (น่าจะผู้ชายตัวใหญ่ ๆ)
ผมก็เริ่มกลัวละในใจผมนึกตลอดเลย แม่งเอ๊ยยกูมาทำไมว้ะเนี่ย ทำไมกูต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้ว้ะเนี้ย (อยากจะร้องไห้แล้วตอนนั้น) ผมมองโทรศัพท์ดูว่าอีกไกลไหม กว่าจะถึง ใช่ครับอีก 20 กว่ากิโล ผมเริ่มใจเสียแล้ว ความรู้สึกผมเหมือนมีคนตามมาตลอด ผมพยายามหันไปมองกระจกหลายครั้งมาก แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยเพราะมันมืดมาก
ขี่ไปได้อีกประมาณ 3-4กิโล ผมเห็นเหมือนเป็นคนนั่งก้มหน้าอยู่ข้างทาง ผมตกใจจนรถเกือบล้ม มืดขนาดนี้ บนเขาแบบนี้จะมีใครมานั่ง ผมขี่ไปได้อีกซักพัก ภาพที่ผมเห็นตรงหน้า คือเหมือนคนวิ่งตัดหน้ารถ ใช่ครับคนเดิมคนเดียวกับตอนที่ผมเห็นตอนแรกเลย ตอนนั้นยอมรับเลยครับผมกลัวสุดขีดจนน้ำตาไหล ได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมทำแบบนี้ ทำไมไม่เชื่อพี่พนักงานเซเว่นที่เค้าเตือน
ทนขี่มาซักพักผมก็ถึงหน่วยพิทักษ์ป่าดอยลาน ผมเห็นไม้กั้นทางเพื่อเก็บเงินนักท่องเที่ยว ตอนนั้นผมเริ่มใจชื้นขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดครับ เพราะมันไม่มีคนเลย ไม่มีแม้แต่แสงไฟ ตอนแรกผมคิดไว้ว่า ถ้ามีเจ้าหน้าที่ตรงหน่วยพิทักษ์ ผมจะขอเค้ากางเต็นท์นอนไปก่อน แล้วตอนเช้าผมจะขึ้นไปแม่กำปอง
ผมหันไปดู GPS ในโทรศัพท์ ยังเหลืออีก 8-9 กิโล เอาว้ะ ผ่านมาขนาดนี้แล้วอีกแค่นี้เอง มันพูดอะไรไม่ออกแล้ว เลยขี่ออกมาจากตรงนั้นได้ซักพัก แต่เหมือนจะเวรซ้ำกรรมกระทืบ น้ำมันรถผมจะหมดไม่มีเหลือซักขีด
ผมคิดในใจอะไรอีกว้ะเนี้ย จะทำไงดีว้ะเนี่ย ตอนนั้นแทบบ้าเลยคิดอะไรไม่ออก คือถ้าจะจอดเติมน้ำมัน ก็ต้องยกของออกจากรถทั้งหมด เพื่อที่จะเปิดเบาะเติม แต่อีกใจก็กลัวว่า ถ้าจอดจะมีใครตามมาไหม แล้วถ้ามีคนมาจี้มาปล้นจะทำยังไง กว่าจะเอาของลงกว่าจะมัดเชือกอีก (แล้วมันมืดขนาดนี้ ไฟก็ไม่มีจะไปเห็นอะไร)
ผมเลยตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ลุยต่อ ถ้ามันถึงคราวของผมจริง ๆ ผมก็ทำใจยอมรับมัน น้ำตาไหลไม่หยุด จนขี่มาได้ซักพัก มันเป็นเนินที่ชันมากแล้วเป็นโค้งแบบยูเทิร์น ใช่ครับ รถผมขึ้นแทบจะไม่ไหว ผมเลยลงจากรถแล้วเข็น พร้อมกับบิดคันเร่งไปด้วย (น้ำตาไหลไปเข็นรถไป) มันหนักมาก ๆ เลยครับ ผมเปิดกระจกหมวกกันน๊อค ตะโกน คำหยาบ ค..ย แม๊งเอ๊ย ทำไมกูต้องเจออะไรแบบนี้ว้ะ กูมาเที่ยวมาพักผ่อนแท้ ๆ แต่ทำไมต้องเป็นแบบนี้
ผมได้ยินเสียงเหมือนเสียงคนหัวเราะ ผมไม่ไหวแล้วเลยตะโกนด่าไป หัวเราะ ค..ยอะไร ถ้าแน่จริงมึงมาช่วยกูดันรถเลยสิ แล้วเหมือนคำขอผมจะเป็นจริง ผมได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งลงมาจากป่า ประมาณว่าเหมือนเสียงเราวิ่งเหยียบพวกใบไม้อะครับ ผมตกใจกระโดดขึ้นมอไซค์แล้วบิด เชื่อไหมครับ เหมือนมีคนมาดันรถให้ผมจริง ๆ จากรถที่อืด ๆ มาทั้งทาง ความเร็วมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจาก 10 เป็น 20 เป็น 30
ในช่วงนั้นมือผมสั่นไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออกแล้วได้แต่คิดในใจ ขอบคุณที่ช่วยดัน แต่อย่าพึ่งดีใจไปครับ ข้างหน้ามันเป็นทางลงแบบชันมาก ๆ มันเป็นเหวลึกก่อนถึงหมู่บ้าน ของที่ผมขนมามันมีน้ำหนักเยอะมากเกิน + กับความเร็วรถที่ขึ้นมาจากเนิน เบรครถผมไม่อยู่ครับ กลิ่นเหม็นไหม้จากจานเบรคลอยขึ้นมากเลย ผมกำจนแน่น ทั้งเบรคหน้าเบรคหลังแต่มันไม่อยู่
ในหัวผมนี่หน้าพ่อหน้าแม่ผมลอยขึ้นมาเลย ใจผมรู้สึกผิดมาก ๆ เพราะผมแอบเค้ามา คนที่บ้านไม่มีใครรู้เลยซักคนว่าผมมาเชียงใหม่ (ถ้าผมเป็นอะไรไปใครจะรู้ไหมเนี้ย กูจะมาจบชีวิตตัวเองที่นี่จริงๆหรอว้ะเนี้ย) ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองด้วยเถิด และแล้วเหมือนมีคนดึงรถผมให้ช้าลง ผมมองกระจกและสิ่งที่ผมเห็นข้างถนน แม่งคือคนเดิมเว้ย (แต่เห็นแค่แปปเดียวแล้วก็หายไป)
ขี่ต่อมาอีกไม่นานผมก็ถึงน้ำตกแม่กำปอง มันจะเป็นธารน้ำให้รถขี่ผ่าน ผมเหลือบไปเห็นคน 2 คนยืนหันหลัง แล้วก็หายไป ผมขี่ต่อมาจนถึงร้านค้าในแม่กำปอง ผมเลยถามป้าครับ แถวนี้มีที่พักว่าง ๆไหมครับ คือผมจะไปกางเต้นท์แต่ผมกลัว ป้าเค้าบอกไปอีกหน่อยนึงลูก มันจะมีโฮมสเตย์อยู่น่าจะว่างนะ ผมบอกขอบคุณแก นึกในใจเห้อรอดแล้ว รอดแล้วโว้ย
ช่วงที่ผมกำลังเอาขาตั้งขึ้น ป้าเค้าถามหนุ่ม ๆ หนุ่มมาคนเดียวหรอลูก ผมบอกใช่ครับป้า มาคนเดียวครับ ผมมาจากพิษณุโลก ป้าเค้าบอกว่า อ๋อจ้ะ ๆ ตอนแรกป้าเห็นหนุ่ม นึกว่ามีคนซ้อนมาด้วย ผมนึกในใจของผมขนมาเยอะขนาดนี้ จะซ้อนยังไง แล้วผมก็บอกขอบคุณป้าเค้า แล้วขี่กลับที่พัก”
ที่มา: Facebook – Wan Racings