ศาลยกฟ้อง ‘เสือ ดุสิต’ และพวก ควงบีบีกัน ทวงเงินบ่อนที่ถูกโกง
ศาลอาญายกฟ้อง เสือ ดุสิต และพรรคพวก คดีปล้นทรัพย์ หลังถือปืนบีบีกันเข้าไปทวงเงินคืนในบ่อนไฮโลแห่งหนึ่ง ย่านสะพานใหม่
วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสัมฤทธิ์ ริมเถื่อน หรือ เสือ ดุสิต, นายวัชระ มากจงดี, นายอนนต์ เศรษฐ์อวยพร, นายสัมภาษณ์ โสภี ในความผิดฐานปล้นทรัพย์
โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2562 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งสี่ร่วมกันปล้นทรัพย์เอาเงินสดจำนวน 15,500 บาทของนายมานิตย์ ใช้ประทุม ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยจำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้สิ่งเทียมอาวุธปืน (ปืนบีบีกัน) จำนวน 2 กระบอก ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุมและทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 84, 340, 392 ริบปืนบีบีกันจำนวน 2 กระบอก ของกลางให้จำเลยทั้งสี่คืนเงินจำนวน 3,500 บาท ที่เป็นส่วนของผู้เสียหายที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย เหตุเกิดที่แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ และเดินทางมาฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2562 นายมานิตย์ ใช้ประทุม ผู้เสียหายชักชวนจำเลยที่ 1 ให้ร่วมเล่นพนันไฮโลเอาทรัพย์สินกันจริง จำเลยที่ 1 เดินทางไปอาคารที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 2 โดยพกปืนบีบีกันติดตัวไปด้วย ส่วนจำเลยที่ 3-4 อยู่ในอาคารที่เกิดเหตุ
ต่อมาวันที่ 24 ส.ค. 2562 เวลาประมาณ 03.00 น. จำเลยที่ 1 เอาเงินจากวงพนันไป 12,000 บาท โดยโวยวายว่ามีการโกงการเล่นพนัน จากนั้นผู้เสียหายเจรจากับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายว่าเสียพนันเงินไป 15,500 บาท ผู้เสียหายจึงมอบเงินให้จำเลยที่ 1 อีกจำนวน 3,500 บาท เพื่อให้ครบถ้วนตามที่จำเลยที่ 1 เสียเงินพนันไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย น.ส.ปัญภรณ์ อินทรจันทร์, ร.ต.อ.พรชัย ว่องประเสริฐ และพ.ต.ท.สราวุธ บุตรดี พนักงานสอบสวน เบิกความว่าจากการสืบสวนสอบสวนผู้เสียหาย และ น.ส.ปัญภรณ์ ได้ความว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 พาจำเลยที่ 2-4 มาร่วมเล่นการพนัน โดยมี น.ส.ปัญภรณ์เป็นเจ้ามือ หลังจากเล่นการพนันได้สักพัก จำเลยที่ 1 โวยวายกล่าวหาผู้เสียหาย และ น.ส.ปัญภรณ์ ว่าโกงการเล่นไฮโล แล้วจำเลยที่ 1-2 ชักปืนออกข่มขู่ผู้เสียหาย และ น.ส.ปัญภรณ์ ภายในวงพนัน โดยมีจำเลยที่ 3-4 ยืนคุมเชิง
จากนั้นจำเลยที่ 1 ขึ้นไปยืนบนโต๊ะแล้วหยิบเอาเงินบนโต๊ะและจำเลยที่ 4 ช่วยหยิบเงินบนโต๊ะรวมกันประมาณ 12,000 บาทไป ต่อมาผู้เสียหายเจรจาตกลงกับจำเลยที่ 1 ได้ เห็นว่าแม้ ร.ต.อ.พรชัย และ พ.ต.ท.สราวุธ เบิกความโดยมีเอกสารบันทึกคำให้การของผู้เสียหาย คำให้การของ น.ส.ปัญภรณ์ และคำให้การของจำเลยทั้งสี่มาสนับสนุน
แต่ในชั้นพิจารณา ผู้เสียหายและ น.ส.ปัญภรณ์กลับเบิกความว่าไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยที่ 1-2 ชักปืนบีบีกันออกมาข่มขู่แล้วเอาเงินจำนวน 12,000 บาทจากวงพนันไป ผู้เสียหายเพียงแต่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงออกมาดูและพบจำเลยที่ 1 ทะเลาะกับบุคคลอื่นอยู่จึงเข้าไปสอบถาม อันเป็นการแตกต่างในข้อสาระสำคัญทั้งผู้เสียหาย และ น.ส.ปัญภรณ์ไม่ยืนยันข้อความตามบันทึกคำให้การที่พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นและตามภาพข้อมูลทะเบียนราษฎรของจำเลย 1-4 ที่ผู้เสียหาย และน.ส.ปัญภรณ์เขียนข้อความด้วยตนเองก็มีข้อความเพียงว่าจำเลยที่ 1-4 เป็นคนร้ายเท่านั้น ไม่ได้เขียนยืนยันข้อเท็จจริงอื่นใด
ส่วนคำให้การของจำเลยทั้งสี่ที่ให้การรับสารภาพนั้น จำเลยทั้งสี่ยังโต้แย้งเรื่องความถูกต้องของเอกสารดังกล่าว โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้อ่านข้อความก่อนลงลายมือชื่อ เนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจขอให้ลงลายมือชื่อไปก่อนและเจ้าพนักงานตำรวจจะไม่ดำเนินคดี จำเลยจึงไม่ทราบว่าข้อความในบันทึกคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง และไม่ได้โต้แย้งไว้
นอกจากนี้ จากทางนำสืบของโจทก์ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า สาเหตุที่จำเลยที่ 1 โวยวายและเอาเงินจากวงพนันไปจำนวน 12,000 บาท เนื่องจากจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าตนเองถูกโกงการเล่นพนันและต่อมาผู้เสียหายเข้าเจรจาและมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 1 อีกจำนวน 3,500 บาท ให้ครบตามที่จำเลยที่ 1 เสียเงินพนันไป
เจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่เบิกความว่าขณะจำเลยที่ 1 เล่นพนันไฮโลอยู่มีคนรู้จักในบ่อนมาบอกว่ามีการโกงการเล่นพนันจำเลยที่ 1 จึงสังเกตลูกเต๋าและพบว่าลูกเต๋าพลิกผิดปกติ จำเลยที่ 1 จึงใช้มือสองข้างกวาดเงินที่อยู่บนโต๊ะ และเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาหา จำเลยที่ 1 กระโดดขึ้นบนโต๊ะที่ใช้เล่นการพนันแล้วชักปืนบีบีกันออกมาและพูดว่ามึงโกงกู
ต่อมาผู้เสียหายเดินเข้ามาจำเลยที่ 1 จึงเก็บปืนเข้าที่เอวดังเดิมและบอกผู้เสียหายว่ามีการเล่นโกง ผู้เสียหายพยายามเจรจากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว ผู้เสียหายได้หยิบเงินจากวงพนันอีก 3,500 บาท มอบให้จำเลยที่ 1 แสดงว่าน่าจะมีการโกงการเล่นพนัน และจำเลยที่ 1 จับได้ว่าเจ้ามือเล่นโกงทำให้จำเลยที่ 1 เสียพนันทำให้ผู้เสียหายต้องคืนเงินในวงพนันให้จำเลยที่ 1 อีก 3,500 บาท
ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 เอาเงินจำนวน 12,000 บาทคืนจากเงินกองกลางในวงพนันจึงฟังได้ว่า เนื่องมาจากจำเลยที่ 1 จับได้ว่าเจ้ามือเล่นโกงทำให้จำเลยที่ 1 เสียพนันหากเจ้ามือไม่โกงจำเลยที่ 1 อาจจะไม่ต้องเสียเงินพนันก็ได้ ที่จำเลยที่ 1 เอาเงินคืนจึงเป็นการกระทำโดยจำเลยที่ 1 เชื่อว่าตนมีสิทธิอันจะพึงมีพึงได้เงินที่เสียพนันไปคืนเพราะเจ้ามือเล่นโกง ทั้งเงินที่จำเลยที่ 1 เอาไปเป็นเงินในวงพนันที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เอาเงินอื่นใดไปอีก ส่วนเงินจำนวน 3,500 บาท ผู้เสียหายเป็นผู้มอบให้จำเลยที่ 1 เองถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทุจริตอันเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
คดีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อมาว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญหรือไม่
เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่ ร่วมกันใช้สิ่งเทียมอาวุธปืน (ปืนบีบีกัน) จำนวน 2 กระบอกทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ แต่ตามภาพประกอบรายงานการสืบสวน ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมีเพียงภาพของจำเลยที่ 1-2 ขณะถือปืนและเงินสดโดยไม่มีภาพขณะจำเลยที่ 1-2 ใช้ปืนบีบีกันข่มขู่ผู้เสียหาย
เมื่อพิจารณาประกอบกับที่ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายไม่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่จำเลยที่ 1 ใช้ปืนบีบีกันข่มขู่เอาเงินไปจำนวน 12,000 บาท เจือสมกับภาพข่าวตามวัตถุพยานเอกสารที่ผู้เสียหายให้สัมภาษณ์ไว้หลังเกิดเหตุ 9 วัน ว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์มาทราบเรื่องหลังจากเป็นข่าวขณะเกิดเรื่องช่วยเจรจาปัญหาให้ และจำเลยที่ 1 เบิกความว่าไม่กล้าใช้ปืนข่มขู่ผู้เสียหายเนื่องจากนับถือผู้เสียหายเป็นรุ่นพี่ซึ่งตรงกับที่ผู้เสียหายเบิกความว่ารู้จักกับจำเลยที่ 1 เป็นเวลากว่า 10 ปี และจำเลยที่ 1 ให้ความเคารพผู้เสียหาย
พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควรไม่อาจรับฟังได้มั่นคงว่าผู้เสียหายอยู่ในเหตุการณ์ขณะจำเลยที่ 1 ใช้ปืนบีบีกันขู่เข็ญเอาเงินจากวงพนันไป ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญศาลต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
สำหรับปืนบีบีกันสิ่งเทียมอาวุธปืน จำนวน 2 กระบอกของกลาง แม้ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด แต่เมื่อปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารว่าจำเลยที่ 1-2 ชักปืนบีบีกันดังกล่าวออกมาถือไว้ในลักษณะที่ทำให้บุคคลอื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจอันเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดก็อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะสั่งริบได้เพราะบทบัญญัติในเรื่องริบทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 หรือมาตรา 33 มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญจึงให้ริบ
ที่มา: MGROnline