อดีต สว. รสนา ยื่นหนังสือให้ศาลกรุงเทพใต้ ตั้งสอบกรณีไม่สั่งฟ้องคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ เพราะข้อมูลค้านสายตาประชาชน ด้านรองโฆษกอัยการ เผย ประชุมต่อเนื่อง ขอเลื่อนการประชุมกับนายสิระ เจนจาคะ เนื่องจากยังไม่ได้ขอสรุป ย้ำ การตั้งกรรมการสอบเป็น 1 ในระเบียบของสำนักอัยการอยู่แล้ว
จากคดีฉาวที่กลายเป็นประเด็นร้อนตั้งแต่สัปดาห์ก่อนจนถึงวันนี้ เนื่องด้วยอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส กระทิงแดง ทำให้ตำรวจถอนหมายจับทุกคดีที่เหลือจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใส
ล่าสุด น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สว. กรุงเทพ ได้ยื่นหนังสือต่ออธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้ให้เปิดไต่สวนก่อนอนุมัติถอนหมายจับคดีของนายบอส อยู่วิทยา
สาเหตุการยื่นหนังสือ เนื่องจากพบข้อมูลที่แตกต่างกันมากหลังคดีผ่านมา 8 ปี ทั้งเรื่องความเร็วของรถที่นายวรยุทธขับ จากเดิมระบุว่า เกิน 170 ก.ม.ต่อชั่วโมง กลายเป็นขับไม่เกิน 80 ก.ม.ต่อชั่วโมง และก่อนหน้านี้มีนายวรยุทธเป็นผู้ต้องหารายเดียว ปัจจุบัน ด.ต.วิเชียร ผู้เสียชีวิตกลับกลายเป็นผู้ต้องหารายที่ 2 ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการระบุว่า ด.ต.วิเชียร ขับรถจักรยานยนต์ปาดหน้ารถของนายวรยุทธ แทนข้อมูลเดิมที่ระบุว่านายวรยุทธขับรถชน รวมถึงพยานที่สนิทกับครอบครัวผู้ต้องหาซึ่งเพิ่งมาให้ปากคำหลังคดีผ่านมาหลายปี
ขณะที่ รองโฆษกอัยการสูงสุด เผยว่า ยังมีการประชุมถึงกรณีพิจารณาไม่สั่งฟ้องคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา อย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 และยังไม่มีบทสรุปที่แน่นอนเพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบสำนวนโดยละเอียด
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการใช้การพิจารณา 3 ประเด็นไปพร้อม ๆ กัน ว่าเป็นไปตามกฎหมายเกี่ยวข้องกับสำนักงานอัยการสูงสุด และมีเหตุในการสั่งคดีนี้อย่างไร
ทั้งยังเปิดเผยไม่ได้ว่าจะมีการเรียกพยานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลด้วยหรือไม่ รวมถึงประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัยถึงพยานใหม่ 2 ปาก กรณีที่จะนำพยานเดิมมายื่นฟ้องใหม่ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
สำหรับการพิจารณา วางกรอบไว้แล้วว่าจะให้เสร็จภายใน 7 วัน พร้อมแจ้งผลให้ทราบอีกครั้งภายหลัง
ส่วนการจะเข้าพบกรรมาธิการ กฎหมายการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ เป็นประธานในวันนี้นั้น อาจต้องขอเลื่อนไปก่อนเพราะจำเป็นต้องมีข้อสุปหรือข้อเท็จจริงประกอบการประชุม
ด้านกรณีของ อดีต สว. รสนา โตสิตระกูล ทางรองโฆษกฯ ไม่มีความเห็นแต่ยืนยันว่าการตั้งคณะกรรมการสอบเป็น 1 ในระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่แล้ว
