ข่าวภูมิภาค

หนุ่มเขม่นคนขับรถบรรทุกในร้านคาราโอเกะ ก่อนถูกยิงดับอนาถ

เมื่อช่วงดึกของวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจสภ.บางไทร อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับเหตุชายถูกยิงเสียชีวิต หน้าอาคารพาณิชย์ ใกล้ตลาดไม้ตรา ริมถนนสายเสนา-ปทุมธานี เมื่อเข้าตรวจสอบก็พบศพ นายยงยุทธ์ อาดำ อายุ 36 ปี ชาวจ.พระนครศรีอยุธยา

 

โดยนายยงยุทธ์ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบชนิด เข้าที่กลางหน้าอก 1 นัด ชายโครงขวา 1 นัด สวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงยีนส์ขาสั้น มีโทรศัพท์มือถือตกอยู่ 1 เครื่อง พร้อมสายชาร์จ และหมวก 1 ใบ สภาพนอนหงายเสียชีวิตจมกองเลือดใกล้ๆ ศพนายยงยุทธ์ พบ นายวินัย สมหวัง อายุ 31 ปี อยู่ในอาการตกใจ ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่งหกล้ม ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลบางไทรแล้ว

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบหน้าร้านคาราโอเกะใกล้จุดเกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีแดง ของผู้ตายจอดอยู่ โดยพยานเล่าว่า ขณะนั่งในร้านอาหาร ตนเห็นว่าผู้ตายมากับเพื่อน 2 คน และนั่งมองหน้าตน แต่ตนก็พยายามไม่สนใจ นั่งเล่นโทรศัพท์ จนมีชายประมาณ 4-5 คน เดินเข้ามานั่งในร้าน ซึ่งในร้านก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกัน จนสักพักกลุ่มชายดังกล่าวเดินออกมาจากร้าน และผู้ตายก็เดินตามออกมา จากนั้นก็มาทราบว่ามีเหตุยิงกันเกิดขึ้น จึงมารู้ว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะในร้านเพลงดังมาก ไม่ได้ยินเสียงปืนข้างนอก

 

ขณะที่ นายวินัย เพื่อนผู้ตาย เล่าว่า ตนมากับผู้ตายและนั่งอยู่ในร้านด้วยกัน ตอนเกิดเหตุ ตนกำลังเคลียร์บิลที่ร้านอยู่ แต่เพื่อนตนเดินตามกลุ่มผู้ก่อเหตุออกมา ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าตามมาทำไม พอออกมาก็พบผู้ก่อเหตุขึ้นรถบรรทุกดินขับออกไป เพื่อนตนนอนจมกองเลือด พยายามเรียกเพื่อน จากนั้นพยายามวิ่งตามคนมาช่วยจนล้มบาดเจ็บดังกล่าว

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ว่า ผู้ตายและผู้ก่อเหตุอาจมองหน้าเขม่นกันในร้านคาราโอเกะ จากนั้นผู้ตายได้เดินตามออกมาเพื่อจะพูดคุยกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ แต่อาจมีปากเสียงกัน จึงถูกยิงเสียชีวิต จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุซึ่งขับรถบรรทุกมาจอดบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ ก่อนจะขับรถหลบหนีไป

 

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสอบสวนเพื่อนและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในร้าน รวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ และตามเส้นทางที่หลบหนี เพื่อเร่งติดตามตัวกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนศพผู้ตายนั้นได้ส่งไปชันสูตรเพิ่มเติม ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ

 

 

ที่มา ไทยรัฐ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to top button