ยกฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” คดีปล่อยกู้กรุงไทย
ยกฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คดีอนุมัติปล่อยกู้กรุงไทย แก่บริษัทกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ 9 พันล้านบาท
ยกฟ้องทักษิณคดีกรุงไทย – วันนี้ 30 สิงหาคม ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่อม. 3/2555 คดีหมายเลขแดงที่อม.55/2558 อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีร่วมอนุมัติให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้แก่บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ 9 พันล้านบาท
โดยข้อหาที่พิจารณาคือ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการยักยอก ความผิดต่อพระราชบัญญัติด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐความผิดต่อพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
คดีนี้ก่อนหน้านี้ศาลออกหมายจับ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว ก่อนจะรื้อฟื้นพิจารณาใหม่เนื่องด้วยการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจาณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560
ผลปรากฏว่า ศาลวินิจัยว่านายทักษิณ ชินวัตรไม่มีความผิด จึงพิพากษายกฟ้อง
สำหรับเหตุผลในการมีคำวินิจฉัยยกฟ้องนั้น BBCThai รายงานว่า ตามทางไต่สวน แม้จะได้ความจากนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ พยานฝ่ายอัยการ ว่านายชัยณรงค์ได้รับโทรศัพท์จากจำเลยที่ 2 (ร.ท. สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยขณะนั้น) แจ้งว่าเรื่องของจำเลยที่ 19 (บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด)
“ซูเปอร์บอส” ตกลงแล้ว อย่าสอบถามข้อมูลมากนัก และขอให้พิจารณาไปโดยเร็ว
มีลักษณะเป็นการสั่ง คำว่า “ซูเปอร์บอส” น่าจะหมายถึงจำเลยที่ 1 (นายทักษิณ) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น แต่นายชัยณรงค์เคยให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่า “ซูเปอร์บอส” หมายถึงจำเลยที่ 1 หรือคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์ อดีตภรรยานายทักษิณ อันเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน
อีกทั้งการเบิกความว่า “ซูเปอร์บอส” หรือ “บิ๊กบอส” หมายถึงจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการคาดเดาไปตามความเข้าใจของนายชัยณรงค์เอง นายชัยณรงค์ไม่รู้จักจำเลยที่ 1 เป็นการส่วนตัว เพียงแต่อ้างว่าจำเลยที่ 2 โทรศัพท์มาบอกว่า “ซูเปอร์บอส” ตกลงแล้ว จึงเป็นกรณีที่พยานได้รับฟังมาจากจำเลยที่ 2 อีกชั้นหนึ่ง
ดังนั้น “ซูเปอร์บอส” จะเป็นผู้ใดจึงมีเพียงจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่จะยืนยันข้อเท็จจริงได้ หรืออาจเป็นการกล่าวอ้างของจำเลยที่ 2 เองก็เป็นได้ พยานปากนี้จึงยังเป็นพยานเข้าไปเกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าว จึงควรรับฟังด้วยความระมัดระวัง
ส่วนพยานปากนายอุตตม สาวนายน ก็ได้ความเพียงว่าก่อนการประชุม นายชัยณรงค์สอบถามที่หน้าห้องประชุมเพียงว่าจำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาถึงนายอุตตมหรือไม่ ซึ่งได้ตอบไปว่าไม่ได้โทรมา การพิจารณาอนุมัติให้สินเชื่อแก่จำเลยที่ 19 ในส่วนของนายอุตตมจึงมิได้เกิดจากจำเลยที่ 2 โน้มน้าวให้อนุมัติเพราะได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 1
พยานหลักฐานของโจทก์ที่ไต่สวนมายังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 สั่งการผ่านจำเลยที่ 2-4 ให้อนุมัติสินเชื่อให้จำเลยที่ 19 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1