ข่าว

กล้องเผยภาพ คนร้ายลอบวางเพลิง สตูฯถ่ายหนัง ‘เกียวโต แอนิเมชั่น’ ยอดดับ 35 ราย

วานนี้ (29 ก.ค.) มีการเปิดเผยภาพกล้องวงจรปิดที่จับภาพ นายชินจิ อาโอบะ (Shinji Aoba) วัย 41 ปี ขณะแอบเข้าดูลาดเลาโลเคชั่นถ่ายทำ ซีรีส์ชื่อดัง “ซาวด์! ยูโฟเนียม” (Sound! Euphonium) ของบริษัทเกียวโต แอนนิเมชัน ที่เมืองยูจิ(Uji) ทางใต้ของเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นผู้ลอบวางเพลิงอาคารสำนักงานใหญ่ของเกียวโต แอนนิเมชันที่ใช้ถ่ายทำส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 35 ราย

 

ตำรวจได้เข้าค้นอพาร์ตเมนต์ของคนร้ายและพบหลักฐานเป็น ดีวีดีการ์ตูนของเกียวโต แอนนิเมชันและโทรศัพท์มือถือ โดยภาพที่กล้องจับไว้ได้นั้นเป็นภาพตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายชินจิ อาโอบะ ได้เดินตามสะพานและแยกถนนที่ปรากฏอยู่ในซีรีส์ ซึ่งทั้ง 2 จุดนี้เป็นสถานชื่อดังในหมู่บรรดาแฟนคลับที่ต้องไปเยือนให้ได้

 

 

ขณะนี้ นายชินจิ อาโอบะ ยังอยู่ในอาการบาดเจ็บจากถูกไฟลวกขั้นร้ายแรงและยังไม่สามารถให้การกับเจ้าหน้าที่ได้ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายอาโอบะ ถูกจับภาพได้ขณะอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ในเมืองยูจิ ซึ่งใช้การเดินทางด้วยรถไฟระยะสั้นจากสตูดิโอ โดยนายอาโอบะบุกเข้าวางเพลิงในวันที่ 18 ก.ค

 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า นายอาโอบะได้ตะโกนเรื่องการลอกเลียนนวนิยายของตนในระหว่างที่ถูกจับกุม ถึงแม้จะไม่ค้นพบหลักฐานว่าชายรายนี้ได้เคยแต่งนวนิยาย หรือส่งผลงานไปยังเกียวโต แอนนิเมชันก็ตาม ซึ่งปกติแล้วทางบริษัทได้จัดการแข่งขันนักเขียนประจำปี

 

 

ขณะนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อเหยื่อผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ มีการระบุเพียงว่า มีผู้เสียชีวิตเป็นชาย 14 คนและหญิงอีก 21 คน และยังมีผู้บาดเจ็บที่ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกไม่ต่ำกว่า 10 ราย กลายเป็นเหตุการสังหารหมู่ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกของญี่ปุ่น

 

 

ด้านเงินกองทุนสำหรับเหยื่อเกียวโต แอนนิเมชันนั้น มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 630 ล้านเยน หรือราว 4.6 ล้านปอนด์ ภายในไม่ถึง 48 ชั่วโมงหลังจัดตั้งกองทุนขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทางเพจระดมทุนชื่อดัง GoFundMe สามารถระดมทุนช่วยเหลือได้มากกว่า 2.2 ล้านดอลลาร์

 

ขณะที่ ทนายความของบริษัทเกียวโต แอนนิเมชันกล่าวว่า เซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของบริษัทที่เก็บผลงานของบริษัทไว้นั้นสามารถรอดพ้นจากเปลวไฟมาได้ ถึงแม้ว่าจะมีผลงานจำนวนมากถูกทำลายในกองเพลิงก็ตาม

 

 

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์, The Guardian และ abcNews

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

Back to top button