นร.หญิงวัย 15 กระโดดเชือกวันละ 3,000 ที หวังผอมทางลัด สุดท้ายเกือบพิการ

อุทาหรณ์ลดความอ้วน นร.หญิงวัย 15 กระโดดเชือกวันละ 3,000 ที หวังผอมทางลัด สุดท้ายเดินแทบไม่ได้ หมอชี้เป็น ‘รองช้ำ’ รุนแรง
เป็นอุทาหรณ์สำหรับสายลดน้ำหนักแบบหักโหม สื่อต่างประเทศ รายงานกรณีเด็กนักเรียนหญิงวัย 15 ปี ในเมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ต้องถูกส่งโรงพยาบาล หลังพยายามลดความอ้วนด้วยการกระโดดเชือกวันละ 3,000 ครั้ง ต่อเนื่องนานกว่า 1 เดือน จนส่งผลร้ายต่อร่างกาย
เด็กหญิงนักเรียนชั้น ม.2 มีรูปร่างค่อนข้างอวบ ต้องการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน ด้วยตารางเรียนที่แน่นขนัดทำให้ไม่มีเวลาไปยิม เธอจึงทำตามคลิปแชร์ประสบการณ์ลดความอ้วนในโซเชียลมีเดีย ตั้งเป้าหมาย “กระโดดเชือกวันละ 3,000 ครั้ง” ทุกวัน เพื่อหวังผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
หลังจากทำต่อเนื่องได้ประมาณ 1 เดือน น้ำหนักตัวของเธอแทบไม่ลดลง แต่ร่างกายกลับเริ่มประท้วงด้วยอาการปวดบริเวณส้นเท้า โดยเฉพาะในตอนเช้าหลังตื่นนอน เมื่อก้าวเท้าลงพื้นจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนเดินกะเผลก และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
แพทย์ผู้ทำการรักษาเปิดเผยว่า จากการตรวจเอกซเรย์ไม่พบความผิดปกติของกระดูก แต่จากการวินิจฉัยอาการพบว่าเป็น “โรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ” (Plantar Fasciitis) หรือ โรครองช้ำ สาเหตุมาจากการกระโดดเชือกที่หักโหมเกินไป ทำให้เอ็นฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อต้องรับแรงกระแทกซ้ำๆ จนเกิดการอักเสบเรื้อรัง
คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ได้สั่งให้คนไข้หยุดกระโดดเชือกทันที เน้นย้ำว่า “สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก การกระโดดเชือกไม่ควรเป็นวิธีออกกำลังกายหลัก” เนื่องจากแรงกระแทกจะกดทับที่ฝ่าเท้าและข้อเท้ามากเกินไป เสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรง การลดน้ำหนักควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเหมาะสมกับสรีระร่างกาย ไม่ควรทำตามกระแสในโลกออนไลน์โดยขาดความรู้

ลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มต้นที่ควบคุมอาหาร
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำเสมอว่า การลดน้ำหนัก = อาหาร 70% ออกกำลังกาย 30% การโหมออกกำลังกายอย่างหนักเพียงอย่างเดียวโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน นอกจากจะเห็นผลช้าแล้ว ยังเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงเหมือนกรณีของน้องนักเรียนคนนี้
หลักการคุมอาหาร เพื่อลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี แทนที่จะอดอาหารหรือหักโหมออกกำลังกาย ควรหันมาโฟกัสที่การเลือกรับประทานอาหารให้ฉลาดขึ้น ดังนี้
ลดหวาน-มัน-เค็ม ตัดน้ำตาลและของทอดออกให้ได้มากที่สุด เลี่ยงน้ำหวาน ชานมไข่มุก ขนมขบเคี้ยว และอาหารแปรรูป ซึ่งเป็นตัวการของไขมันสะสม
กินโปรตีนให้เพียงพอ (เช่น อกไก่, ปลา, ไข่ต้ม, เต้าหู้) ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากจุกจิก และช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอจากการออกกำลังกาย
กินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เปลี่ยนจากข้าวขาว/ขนมปังขาว เป็นข้าวกล้อง ธัญพืช หรือโฮลวีต ซึ่งมีใยอาหารสูง ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ไม่หิวง่าย
ในทุกมื้อควรมีผักใบเขียวเพื่อเพิ่มกากใย ช่วยระบบขับถ่ายและการดูดซึมไขมัน

อย่าอดอาหารเด็ดขาด: การอดอาหารจะทำให้ระบบเผาผลาญพังและเข้าสู่โหมดจำศีล ร่างกายจะเก็บไขมันไว้มากขึ้น ควรแบ่งกินเป็นมื้อย่อยๆ ในปริมาณที่พอเหมาะแทน
การลดน้ำหนักที่ดี คือการทำอย่างสม่ำเสมอ สมดุล หากควบคุมอาหารได้ดี น้ำหนักจะค่อยๆ ลดลงโดยที่ร่างกายไม่โทรม และเมื่อน้ำหนักตัวลดลงแล้ว จึงค่อยเริ่มออกกำลังกายเบาๆ เพื่อกระชับสัดส่วน จะปลอดภัยต่อข้อต่อและสุขภาพมากกว่าครับ
ติดตาม The Thaiger บน Google News:



