ทนาย “ทักษิณ” โพสต์แจงไทม์ไลน์ละเอียด คดีขายหุ้นชินคอร์ป

ทนายทักษิณ โพสต์แจงไทม์ไลน์ละเอียด คดีขายหุ้นชินคอร์ป เขียนปิดท้าย ข้อเท็จจริงที่แทรกในคำวินิจฉัยศาลฎีกามีความพิสดารที่เกิดขึ้นในคดีภาษีอากรคดีนี้
นาย วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กระบุว่า “ลำดับเหตุการณ์คดีภาษีการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
• 23 มกราคม 2549 ตระกูลชินวัตร ได้ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ปฯ ซึ่งตระกูลชินวัตรที่เป็นเจ้าของกิจการ ให้กับกองทุนเทมาเส็ก จำนวน 1,487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินกว่า 73,271 ล้านบาท หลังซื้อมาจากบริษัท แอมเพิ้ลรัช จำกัด ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท โดยไม่เสียภาษี เนื่องจากได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เพราะเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในช่วงรัฐบาลไทยรักไทย โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
• 19 กันยายน 2549 ได้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
• ต่อมาคณะรัฐประหาร คมช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการ กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ รัฐ (คตส.) ขึ้นมาตรวจสอบโครงการต่างๆ ของรัฐบาลไทยรักไทย โดยได้ตั้งอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด เป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ตรวจสอบด้วย
• 23 เมษายน 2550 คตส. ได้มีมติให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี บริษัท แอมเพิลริช เนื่องจาก บริษัท แอมเพิลริช (กรรมการบริษัทในขณะเกิดหนี้ภาษี คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ในฐานะเป็นกรรมการบริษัท) ต้องเสียภาษีในฐานะเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย ทั้งเงินปันผล เงินได้จากการขายหุ้น และการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ และภาระปลอดหนี้
• 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท โดยชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือ เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ตัวจริง
• 29 ธันวาคม 2553 ศาลภาษีอากรกลาง จึงมีคำสั่งให้กรมสรรพากรงดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของ น.ส.พินทองทากับนายพานทองแท้ จากบริษัทแอมเพิลริชฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากศาลฎีกาฯ พิพากษาแล้วว่า เจ้าของหุ้นตัวจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
• 22 กุมภาพันธ์ 2555 นางเสาวนีย์ กมลบุตร ในฐานะประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้วินิจฉัยกรณีการจัดเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ โดยนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ และศาลภาษีอากรมาประกอบการพิจารณา ซึ่งคำพิพากษาของศาลระบุว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ แต่เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากจะตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาล
-นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ได้สรุปผลการวินิจฉัย กรณีการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ว่า เจ้าของหุ้นชินคอร์ป ที่แท้จริง คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ส่วนนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งการดำเนินการในลักษณะ ดังกล่าว เข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่จะต้องแสดงต่อสำนักงาน ป.ป.ป.ช. ซึ่งศาลฎีกาฯ ได้มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ตกเป็นขอนของแผ่นดินไปหมดแล้ว จากนั้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงนำหุ้นชินคอร์ปฯ ไปขายให้กับกองทุนเทมาเสกผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็จะได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 “เรื่องภาษีทันชินคอร์ปฯ ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ต่อจากนี้ไป กรมสรรพากรรจะไม่มีการประเมินภาษีคนในตระกูลชินวิตรอีก เนื่องจากผลการตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ยืนตามคำพิพากษาของศาลทั้ง 2 ศาล ส่วนเรื่องการประเมินภาษี พ.ต.ท.ทักษิณ คณะกรรมการฯ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากรเป็นผู้วินิจฉัย เมื่อสรรพากรพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องเสียภาษี ตรงนี้ก็ถือเป็นที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน เพราะกรมสรรพากรทำตามผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ”
• 22 พฤษภาคม 2557 เกิดการรัฐประหารอีกครั้ง โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) เพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำให้มีความพยายามรื้อคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ขึ้นมาดำเนินการใหม่อีกครั้ง
• 7 มีนาคม 2560 นายประภาส คงเอียด รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร กล่าวว่า ได้พิจารณาตามข้อเสนอของกรมสรรพากรเกี่ยวกับการขยายเวลาการออกหมายเรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีภายใน 5 ปี เพราะหากกรมสรรพากรไม่ออกหมายเรียกจะทำการประเมินการเสียภาษีไม่ได้ ที่ประชุมหารืออย่างกว้างพิจารณาแล้วว่าจากมาตรา 3 อัฎฐ ประมวลรัษฎากร กำหนดว่า หากมีคดีความทางภาษีระยะเวลา 10 ปี กรมสรรพากรต้องออกหมายเรียกภายใน 5 ปี หากพ้นระยะเวลา 5 ปี แล้ว จะไม่สามารถออกหมายเรียกได้ โดยที่ประชุมคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรเห็นชอบร่วมกันว่า จากมาตรา 3 อัฏฐ ประมวลรัษฎากร ไม่สามารถขยายเวลาการออกหมายเรียกได้ จากนั้นจะนำมติดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นการทั่วไปและดำเนินการต่อทุกคดีทางภาษี
• 13 มีนาคม 2560 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม และเห็นว่ากรมสรรพากรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นอมินีที่ถือหุ้นแทน อดีตนายกฯ ทักษิณ มาไต่สวนเมื่อปี 2555 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 – 821 ดังนั้นจึงถือว่าเคยออกหมายเรียกอดีตนายกฯ ทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มีนาคม 2560 และกรมสรรพากรยังสามารถประเมินภาษีอดีตนายกฯทักษิณได้ โดยไม่ต้องออกหมายเรียกมาไต่สวนอีก และทันทีที่ส่งหนังสือประเมินให้อดีตนายกฯ ทักษิณ อายุความ” ก็จะหยุดลง
• 14 มีนาคม 2560 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 16,000 ล้านบาทว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกฯ มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2560 โดยให้หลักเกณฑ์ว่า 1.ต้องไม่ ใช้มาตรา 44 ให้ใช้กฎหมายปกติ 2.ไม่ขยายอายุความ 3.ยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และ4.ต้องดูเจตนาการขายหุ้นดังกล่าวว่าสุจริตหรือไม่ ถ้าสุจริตทุกอย่างจบ ถ้าไม่สุจริตให้ดำเนินการตามสิ่งที่ได้ให้ไว้ การจะดูว่าดำเนินการสุจริตหรือไม่ ได้ข้อสรุปว่าต้องไปฟ้องร้องดำเนินคดีกันในชั้นศาล แต่มีคำถามว่า จะดำเนินการได้ทันก่อนอายุความ 10 ปีจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมีนาคมนี้หรือไม่ ที่ประชุมครม.ก็ได้แนวทางสว่างว่า เมื่อปี 55 ศาลภาษีอากรกลางตัดสินไว้ว่า นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา เป็นนอมินีของอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่ใช่ตัวการสำคัญ เพราะตัวการสำคัญคืออดีตนายกฯ ทักษิณ ดังนั้น การออกหมายเรียกทั้งคู่ในตอนนั้นจึงเหมือนเป็นการออกหมายเรียกอดีตนายกฯ ทักษิณแล้ว “มันคงเป็นรายละเอียดที่มีกฎหมายเล็กซ่อนอยู่ในกฎหมายใหญ่ โดยที่ประชุม ครม. นายวิษณุใช้คำว่า ทำไม่ได้ แต่ทำได้ด้วยอภินิหารของกฎหมาย เพราะฉะนั้นมุมแบบนี้ คงไม่สามารถคิดออกได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่การประชุมวงนายวิษณุเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ได้เชิญเกจิอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาจึงคิดออก”
• 28 เมษายน 2560 กรมสรรพากรนำหนังสือแจ้งประเมินภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549 รวมเป็นเงินกว่า 17,629.58 ล้านบาท ไปติดไว้ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเป็นบ้านพักของอดีตนายกฯ ทักษิณ
– โดยเอกสารดังกล่าว ระบุว่า การประเมินภาษีครั้งนี้ เป็นการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.12 ประจำปี 2549 อาศัยอำนาจตามมาตรา 20, 22 ,27 และ 61 แห่งประมวลรัษฎากร โดยอดีตนายกฯ ทักษิณมีเงินได้พึงประเมิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,899.27 ล้านบาท เมื่อรวมกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งคำนวณถึงวันที่ 31 มี.ค. 2560 รวมเป็นระยะเวลา 120 เดือน ทำให้มีเงินภาษีซึ่งอดีตนายกฯ ทักษิณต้องจ่ายทั้งสิ้นรวม 17,629.58 ล้านบาท โดยให้ไปชำระที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาบางพลัด
• 25 เมษายน 2560 ทีมกฎหมายของอดีตนายกฯ ทักษิณจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี เพื่อคัดค้านการประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป
• 18 กรกฎาคม 2565 ศาลภาษีอากรกลาง อ่านคำพิพากษาคดีความแพ่ง กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “ชินคอร์ป” จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานของกรมสรรพากรถือเอาการออกหมายเรียก นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา บุตรสาว ในฐานะตัวแทน เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินไม่ ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในเวลาที่กำหนด และนิติกรรมที่ทำขึ้นทั้งในขณะนั้นและหลังจากนั้น ไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธ์ในหุ้นของ บริษัทชินคอร์ป เพราะนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง จึงถือว่านายทักษิณ เป็นเจ้าของหุ้น ขณะที่กรมสรรพากรให้นายทักษิณ เสียภาษี อย่างผู้มีรายได้พึงประเมินนั้น ศาลถือว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมิน ทำให้ การประเมินของเจ้าพนักงานไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน
• 2 มิถุนายน 2566 ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีภาษีอากร มีคำพิพากษา ที่ 2819/2566 พิพากษายืนตามศาลภาษีอากรกลาง
• 17 พฤศจิกายน 2568 ศาลภาษีอากร อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่ อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ ที่แจ้งให้อดีตนายกฯ ทักษิณ จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่นฯ เป็นเงิน 1.76 หมื่นล้านบาทให้กับกรมสรรพากร โดยศาลพิพากษาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การที่โจทก์ ปกปิดการถือหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ของตน โดยให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองเเท้ และ น.ส.พินทองทา ถือหุ้นแทนเพราะโจทก์ประสงค์ที่จะเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง ที่กฎหมายห้ามมิให้โจทก์ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ ที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ในการจัดเก็บภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ส่วนประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงพิพากษากลับ ให้ ยกฟ้องโจทก์”
ก่อนจะติดแฮชแท็คตอนท้ายว่า “ข้อเท็จจริงที่แทรกในคำวินิจฉัยศาลฎีกามีความพิสดารที่เกิดขึ้นในคดีภาษีอากรคดีนี้.”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทักษิณ มีโอกาสรอด “จ่ายภาษีหุ้น 1.76 หมื่นล้าน” หากทรัพย์อยู่นอกประเทศ
- เจาะ 4 ประเด็น คำพิพากษาเต็ม ศาลฎีกาพลิก ทักษิณ ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้าน
- ด่วน ศาลฎีกา พิพากษา “ทักษิณ” แพ้คดีหุ้นชินคอร์ป ต้องจ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท
ติดตาม The Thaiger บน Google News:





