8 เหตุผลที่ กริพเพน เหนือกว่า F-16 หลังไทย ทุ่มงบหมื่นล้าน ซื้อฝูงใหม่

เปิดข้อมูลเทียบสเปกเครื่องบิน กริพเพน Saab JAS 39 Gripen E/F กับเครื่องบิน F-16 Fighting Falcon ใครได้เปรียบกว่ากัน? วิเคราะห์กองทัพอากาศไทยหลังทุ่มงบ 19.5 พันล้านบาท จัดหาฝูงบิน Gripen E/F ใหม่
หลังจากที่กองทัพอากาศไทย ประกาศ การอนุมัติโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ กริพเพน JAS-39 Gripen E/F จำนวน 12 ลำ ด้วยวงเงินเฟสแรก 1.95 หมื่นล้านบาทของรัฐบาลไทย ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ และได้จุดประกายคำถามสำคัญว่า เหตุใด “กริพเพน” จึงเป็นตัวเลือกที่เหนือกว่า “ฟอลคอน” หรือ F-16 ที่รับใช้ชาติมาอย่างยาวนาน
เจาะลึก 8 เหตุผล กองทัพอากาศไทยอนุมัติจัดหา JAS-39 Gripen E/F
การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ปฏิเสธการขาย F-35 ให้ไทยในปี 2566 และข้อเสนอสำหรับ F-16 Block 70/72 ยังไม่น่าดึงดูดใจพอ ทำให้ Gripen E/F ซึ่งเป็นเครื่องบินรบยุค 4.5+ ที่มีความโดดเด่นด้านสงครามข้อมูลและมีต้นทุนการดูแลรักษาที่ต่ำกว่า กลายเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกองทัพอากาศไทยในทศวรรษนี้ และนี่คือ 8 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Gripen E/F จะเข้ามาพลิกเกมบนน่านฟ้าไทย
1. เซนเซอร์ที่ “มองเห็นก่อน” และมองได้รอบทิศทาง
Gripen E/F ติดตั้งเรดาร์ Raven ES-05 ซึ่งเป็นเรดาร์แบบ AESA ที่ติดตั้งบน “จานหมุน” ทำให้มีมุมสแกนกว้างถึง 200 องศา สามารถตรวจจับเป้าหมายด้านข้างและเกือบจะด้านหลังได้โดยไม่ต้องหันหัวเครื่องบิน ซึ่งแตกต่างจาก F-16 ที่มีมุมสแกนจำกัดอยู่ด้านหน้า
2. นักล่าเงียบด้วยระบบ IRST
กริพเพน มาพร้อมกับเซนเซอร์อินฟราเรด Skyward-G (IRST) ที่ฝังมาในตัวเครื่อง ทำให้สามารถตรวจจับเครื่องบินล่องหน (Stealth) ได้จากลายเซ็นความร้อนโดยไม่ต้องเปิดเรดาร์ ซึ่งเป็นความสามารถที่ F-16 ต้องติดตั้งอุปกรณ์ภายนอกเพิ่มเติม

3. สงครามอิเล็กทรอนิกส์ครบวงจรในตัว
ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW) ถูกติดตั้งมาพร้อมสรรพแบบ 360 องศา ทำให้สามารถป้องกันตัวเองและโจมตีระบบอิเล็กทรอนิกส์ของข้าศึกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพ็อดภายนอกเหมือน F-16
4. ความสามารถ “ซูเปอร์ครูซ” (Supercruise)
Gripen E/F สามารถทำความเร็วเหนือเสียงที่ Mach 1.2 ได้โดยไม่ต้องเปิดใช้สันดาปท้าย (Afterburner) ซึ่งช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างมหาศาลและลดการถูกตรวจจับจากความร้อน ในขณะที่ F-16 ต้องเปิดสันดาปท้ายเสมอเพื่อทำความเร็วเหนือเสียง
5. ความคล่องตัวบนทางหลวง
ด้วยแนวคิดการกระจายฐานบิน Bas 90 ของสวีเดน ทำให้ Gripen E/F สามารถใช้ทางวิ่งเพียง 500 เมตรในการขึ้นบิน และ 600 เมตรในการลงจอด ซึ่งหมายความว่ามันสามารถใช้ “ถนนหลวง” เป็นฐานบินชั่วคราวได้จริง ต่างจาก F-16 ที่ต้องการรันเวย์มาตรฐานยาวกว่า 2,000 เมตร

6. อาวุธพิฆาตระยะไกล “Meteor”
หัวใจสำคัญคือการติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกล Meteor ซึ่งมีระยะยิงไกลกว่า 200 กิโลเมตร สร้าง “เขตสังหาร” (No-Escape Zone) ที่กว้างกว่าขีปนาวุธ AIM-120 AMRAAM ของ F-16 อย่างเทียบไม่ติด
7. ต้นทุนการปฏิบัติการที่ถูกกว่าเกือบครึ่ง
ค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินของ Gripen E/F อยู่ที่ประมาณ 6,000-7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น เทียบกับ F-16 Block 70 ที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 10,000-12,000 ดอลลาร์ ทำให้กองทัพอากาศสามารถเพิ่มชั่วโมงบินฝึกให้กับนักบินได้มากขึ้นในงบประมาณที่เท่ากัน

8. สถาปัตยกรรมดิจิทัลที่อัปเดตได้ทันที
ด้วยซอฟต์แวร์ DIPS ที่มีสถาปัตยกรรมแบบเปิด ทำให้การอัปเดตหรือแก้ไ ขโปรแกรมทำได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ต่างจาก F-16 ที่ต้องรอการอัปเกรดตามรอบ Block ใหญ่จากผู้ผลิต ซึ่งใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดสเปก F-16 เครื่องบินขับไล่สุดแกร่ง ปักษาเหล็ก แห่งทัพอากาศไทย
- ย้อนภารกิจ F-16 ขึ้นบินแล้ว ก่อนทำลาย บก.พลน้อย.สสน กัมพูชา 2 จุด
- เจาะลึก BM-21 ของเขมร อาวุธหนักยุคโซเวียต ยิงไกลถึง 40 กิโลเมตร
อ้างอิง : Defence Security Asia, Document : SAAB-GRIPEN E/F Success of a True Collaboration The Brazilian Fighter
ติดตาม The Thaiger บน Google News: