ตำนาน “พระยาละแวก” เลือดล้างพระบาท “พระนเรศวร” ทำไมชื่อกษัตริย์กัมพูชา กลายเป็น ‘คนคบไม่ได้’

เปิดประวัติ พระยาละแวก คือใครในประวัติศาสตร์ กัมพูชา คนรุ่นใหม่ริ่มรู้จักจากหนัง พระนเรศวร สู่สำนวน ลูกหลานพระยาละแวก
ในปริมณฑลของภาษา วัฒนธรรมไทย สำนวน “อย่าไปคบลูกหลานพระยาละแวก” ถูกหยิบยกมาพูดหนาหูขึ้นในช่วงสถานการณ์ รบชายแดนไทย-กัมพูชา สื่อถึงเครื่องเตือนใจ ไม่ให้ไว้วางใจบุคคลที่เคยเป็นศัตรูหรือมีพฤติกรรมไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนคนไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ อาจสงสัยว่า พระยาละแวกคือใคร เหตุการณ์ใดในหน้าประวัติศาสตร์ที่หล่อหลอมให้พระนามของกษัตริย์กัมพูชากลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่น่าไว้วางใจในความรับรู้ของคนไทย ไทยเกอร์ขอพามาเจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับกัมพูชาในยุคสมัยโบราณ เพื่อทำความเข้าใจรากเหง้าของมรดกทางวาทกรรมชิ้นนี้

พระยาละแวก ไม่ใช่ชื่อคน แต่เป็นตำแหน่ง
คำว่า “พระยาละแวก” มิได้หมายถึงพระนามของกษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นสมัญญานามที่เอกสารฝ่ายไทยใช้เรียกกษัตริย์กัมพูชาที่ครองราชย์ ณ กรุงละแวก ราชธานีของอาณาจักรเขมรหลังยุคพระนคร (อังกอร์) กษัตริย์องค์สำคัญที่มักถูกอ้างถึงใต้ชื่อนี้คือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (นักพระสัษฐา) ผู้ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2108–2119
ชสมัยของพระองค์เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยากำลังอ่อนแออย่างหนักภายหลังการเสียกรุงครั้งที่หนึ่งแก่พม่าเมื่อ พ.ศ. 2112 กัมพูชาในสมัยกรุงละแวกได้สบโอกาสขยายอิทธิพลทางการทหารเข้ามายังดินแดนของอยุธยา

ไทม์ไลน์ ละแวกรุกรานอยุธยา
- การรุกรานครั้งแรก (พ.ศ. 2113) เพียงหนึ่งปีหลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า กองทัพเขมรยกมาถึงชานพระนคร แต่ไม่สามารถหักตีเมืองได้สำเร็จ ต้องถอยทัพกลับไป
- การรุกรานครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2118) เพียง 5 ปีให้หลัง พระยาละแวกยกทัพเรือเข้ามาทางแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ครั้งนี้จะไม่สามารถยึดกรุงศรีอยุธยาได้เช่นกัน แต่ได้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินสำคัญกลับไปยังกรุงละแวก ซึ่งรวมถึงพระรูปเทพารักษ์สำริดสององค์ เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายและความเจ็บแค้นให้แก่ฝ่ายอยุธยาอย่างมาก

จุดสิ้นสุดของกรุงละแวก สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ต่อมาในรัชสมัย พระบรมราชาที่ 4 (พระชัยเชษฐา) พระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ซึ่งฝ่ายไทยยังคงเรียกว่า “พระยาละแวก” ความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง จากการที่กองกำลังเขมรเข้าปล้นสะดมและกวาดต้อนผู้คนตามหัวเมืองชายแดนของสยาม การกระทำที่ยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงฟื้นฟูอำนาจของกรุงศรีอยุธยา กำลังติดพันศึกใหญ่กับหงสาวดี
หลังเสร็จสิ้นศึกกับหงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตัดสินพระทัยยุติภัยคุกคามจากกัมพูชาอย่างเด็ดขาด ใน พ.ศ. 2136 พระองค์ทรงยกกองทัพขนาดใหญ่เข้าตีกรุงละแวกจากสี่ทิศทาง ทั้งทางบกและทางทะเล กองทัพสยามสามารถพิชิตกรุงละแวกได้สำเร็จ
พงศาวดารบางฉบับบันทึกว่าพระยาละแวกได้หลบหนีไปทางล้านช้าง (ลาว) ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสิ้นสุดอำนาจของอาณาจักรเขมรยุคละแวกเท่านั้น แต่กองทัพสยามยังได้กวาดต้อนผู้คนจำนวนมากกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ทั้งเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ช่างฝีมือ และไพร่พล ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของอยุธยาในเวลาต่อมา
พงศาวดารไทยบางฉบับ ยังมีบันทึกว่าหลังสงครามดังกล่าว สมเด็จพระนเรศวรสั่งพิธี “ประถมกรรม” นำเลือดพระยาละแวกมาชำระพระบาท เพื่อสะท้อนการชำระแค้น และประจานความทรยศ โดยพระยาละแวกถูกตัดศีรษะ และพระศรีสุพรรณมาธิราช (อนุชา) รวมถึงครอบครัวถูกนำตัวมาไว้ในกรุงศรีฯ แต่ได้รับพระราชทานอภัยพระราชทานภายหลัง
พฤติการณ์ของพระยาละแวกที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ไทย คือการฉวยโอกาสเข้าโจมตีในยามที่เพื่อนบ้านอ่อนแอ การกระทำดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นการทรยศและไร้สัจจะ ภาพลักษณ์เชิงลบนี้ถูกตอกย้ำและส่งต่อผ่านความทรงจำร่วมของสังคม จนตกผลึกกลายเป็นสำนวน “ลูกหลานพระยาละแวก” ซึ่งมีความหมายโดยนัยถึงบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ หรือศัตรูเก่าที่อาจหวนกลับมาทำร้ายได้ทุกเมื่อ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- องค์ดำประทับร่าง “ผู้พันเบิร์ด” ร่ายบทพระนเรศวร แฉเขมรยอมรับล้ำแดน
- รวบ! ทหารยศร้อยโท “สายลับเขมร” แฝงตัวแจ้งพิกัดทหารไทยชายแดนจันทบุรี-ตราด
- ส่องบัญชี “พลโทหญิง มาลี โสจียตา” โฆษกกลาโหมเขมร เงินเดือนเท่าไหร่
ติดตาม The Thaiger บน Google News: