สหรัฐฯ ถล่มแหล่งนิวเคลียร์ ของอิหร่าน พังราบ เตือนไม่เข็ด จะตามถล่มต่อ

โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยัน สหรัฐฯ โจมตีถล่มแหล่งนิวเคลียร์อิหร่าน พังราบ เตือนหากไม่เจรจาสันติภาพ จะตามถล่มต่อ
วอชิงตัน – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา แถลงเมื่อค่ำวันเสาร์ ยืนยันว่า สหรัฐฯ ได้โจมตีทางอากาศแหล่งเสริมสมรรถนะยูเรเนียมหลัก 3 แห่งของอิหร่าน ได้แก่ ฟอร์โด (Fordo), นาทานซ์ (Natanz) และอิสฟาฮาน (Isfahan) อ้างว่า “ถูกทำลายจนหมดสิ้น” พร้อมเตือนอย่างแข็งกร้าวว่า หากอิหร่านไม่ยินยอมเจรจาสันติภาพ จะมีการโจมตีครั้งต่อไป “ด้วยความแม่นยำ รวดเร็ว เต็มกำลัง”
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ โจมตีอิหร่านโดยตรง นับเป็นการยกระดับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน สหรัฐฯ ใช้เรือดำน้ำยิงขีปนาวุธ Tomahawk จำนวน 30 ลูกเข้าใส่เป้าหมายในอิหร่าน ขณะเดียวกัน เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ที่สามารถบรรทุกระเบิด GBU-57 “bunker buster” น้ำหนักกว่า 13 ตัน ถูกส่งขึ้นบินจากฐานทัพมิสซูรี เพื่อโจมตีเป้าหมายใต้ภูเขาที่เชื่อว่าเก็บยูเรเนียมเข้มข้นและเครื่องหมุนเหวี่ยงขั้นสูงของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม รายงานความเสียหายที่แน่ชัดยังไม่สามารถตรวจสอบได้

ทรัมป์แถลงสดจากทำเนียบขาว มีรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์, รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ร่วมอยู่ในห้อง
“สันติภาพหรือโศกนาฏกรรม เราจะตามล่าเป้าหมายที่เหลือทั้งหมด หากสันติภาพไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน” ทรัมป์กล่าว ทรัมป์ยังโพสต์ใน Truth Social ว่า “การตอบโต้ใด ๆ จากอิหร่านจะได้รับการตอบโต้ด้วยพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าสิ่งที่เห็นในคืนนี้”
ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล แถลงสนับสนุนการตัดสินใจของทรัมป์ โดยระบุว่า “เป็นการเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์” และ “แสดงพลังอำนาจอันชอบธรรมของกองทัพสหรัฐฯ”

แม้ทรัมป์จะยืนยันว่าเป็น “ชัยชนะอย่างสมบูรณ์” แต่หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจถูกดึงเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะหากอิหร่านตอบโต้ด้วยการโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในอ่าวเปอร์เซีย หรือเล่นงานทางเศรษฐกิจ เช่น วางทุ่นระเบิดหรือโจมตีเรือพาณิชย์ในช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำสำคัญของน้ำมันโลกกว่า 20%

ที่ผ่านมา อิหร่านใช้กลุ่มพันธมิตรและกองกำลังตัวแทน เช่น กองกำลังชีอะห์ในอิรัก, กลุ่มฮูตีในเยเมน และเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน เป็นกลยุทธ์ป้องกันประเทศจากศัตรู แต่หลังจากถูกถล่มอย่างหนักจากอิสราเอล หลายฝ่ายของอิหร่านก็อ่อนกำลังลงอย่างมาก

ในสหรัฐฯ ปฏิกิริยาจากสองพรรคการเมืองแบ่งขั้วอย่างชัดเจน ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ ฮาคีม เจฟฟรีส์ วิจารณ์ว่าทรัมป์ “เสี่ยงทำให้สหรัฐฯ ติดกับดักสงครามที่เลวร้าย” โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ด้านทอมมี เวียเตอร์ อดีตโฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติในยุคโอบามา เตือนว่าการตอบโต้จากอิหร่านอาจมาในรูปแบบก่อการร้ายในอนาคต
ขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายรายสนับสนุนการตัดสินใจของทรัมป์ โดย ส.ว. ลินด์ซีย์ เกรแฮม ระบุว่า “ดีแล้ว สมควรแล้ว” และ ส.ว. เท็ด ครูซ ชี้ว่าการโจมตีครั้งนี้ “จำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านได้อาวุธนิวเคลียร์”

ทรัมป์เคยลังเลในการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลต่ออิหร่าน แต่เปลี่ยนใจหลังการบรรยายสรุปเมื่อ 8 มิถุนายน โดยผู้บัญชาการกองทัพอากาศ พล.อ. แดน เคน ทำให้เขาอนุมัติการโจมตีร่วมของสหรัฐฯ และอิสราเอลในเวลาต่อมา
ท่าทีของทรัมป์แข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนการโจมตี เขาโพสต์เรียกร้อง “การยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขของอิหร่าน” และกล่าวต่อสื่อว่า “ฉันอาจจะทำ อาจจะไม่ทำ ใคร ๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าฉันจะทำอะไร”

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าเหตุการณ์นี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่ควบคุมไม่ได้ และไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ในระยะยาวได้ โดยเฉพาะในขณะที่อิหร่านมองว่าความอยู่รอดของระบอบการปกครองกำลังถูกคุกคามโดยตรง
คำถามสำคัญขณะนี้ คือ อิหร่านจะตอบโต้ด้วยวิธีใด และโลกจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างไรต่อไป.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สหรัฐฯ เตือนด่วน โบอิ้ง 737 MAX เครื่องยนต์ เสี่ยงควันรั่วเข้าห้องนักบิน
- อิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ขีปนาวุธถล่มรพ.-ย่านที่พักอาศัย บาดเจ็บกว่า 40 ราย
- สถานทูตเตหะราน ขอให้คนไทยอพยพออกจากพื้นที่ เหตุสู้รบอิหร่าน-อิสราเอล
ติดตาม The Thaiger บน Google News: