จับกุม นพรัตน์ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ กลางรพ.ในเท็กซัส คดีทุจริตเงินทอนวัด

จับกุม นพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีต ผอ.สำนักพุทธฯ กลางโรงพยาบาลในเท็กซัส คดีทุจริตเงินทอนวัด ร่ำรวยผิดปกติ 500 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ US Marshals ได้จับกุมตัว นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในรัฐ เท็กซัส สหรัฐอเมริกา ตามคำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของทางการไทย
นายนพรัตน์ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเงินอุดหนุน บูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด หรือที่รู้จักกันในชื่อ “คดีเงิน ทอนวัด” โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่าเขามีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติกว่า 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของนายนพรัตน์และพวก รวม มูลค่าประมาณ 94.2 ล้านบาท โดยนายนพรัตน์ได้หลบหนีออก จากประเทศไทยไปพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ก่อนปี 2560 และมีรายงานว่าเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสบายในต่าง ประเทศ
การจับกุมนายนพรัตน์ครั้งนี้เป็นการจับกุมชั่วคราว (provisional arrest) ซึ่งมี กำหนดที่จะต้องขึ้นศาลในรัฐเท็กซัสเพื่อพิจารณาเรื่องการส่ง ผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย โดยขั้นตอนการ ส่งตัวผู้ต้องหารายนี้กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยคาดว่าจะใช้ เวลาการต่อสู้ในชั้นศาลอีกระยะหนึ่ง
สำหรับนายนพรัตน์ ยังเป็นผู้ต้องหาตามสำนวนการสอบของตำรวจ บก.ปปป. อีกหลายสิบคดี และตกเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาพร้อม กับนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. นางประนอม คงพิกุล อดีตรอง ผอ.พศ. และพวก พร้อมกับพระเถระบางส่วน ในคดีทุจริตเงินทอน วัดหลายสำนวน โดยในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังเหลืออีกอย่างน้อย 36 สำนวนที่ต้องดำเนินการไต่สวนจาก ทั้งหมด 47 สำนวน
สรุปที่มาที่ไปคดีทุจริตเงินทอนวัด
นายนพรัตน์เริ่มต้นอาชีพในตำแหน่งวิศวกรโยธาระดับ 3 เมื่อปี 2531 ก่อนจะไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญอย่าง ผู้อำนวยการกอง พุทธศาสนสถาน (ปี 2546), รองผู้อำนวยการ พศ. (ปี 2550) และ ท้ายที่สุด ได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้อำนวยการ พศ. ในปี 2553
ช่วงปี 2555-2559 ขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. นายนพรัตน์ถูก กล่าวหาว่ามีส่วนสำคัญในโครงการทุจริตเงินอุดหนุนวัด โดยเจ้าหน้าที่ พศ.จะเสนอเงินงบประมาณให้วัดต่างๆ เช่น ค่าบูรณะวัด แล้วตกลงกับวัดว่า เมื่อได้รับเงินโอนจากรัฐเต็มจำนวนแล้ว วัดจะ ต้อง “ทอน” หรือคืนเงินส่วนใหญ่ (อาจสูงถึง 75-90%) กลับมาให้ เจ้าหน้าที่ ทำให้วัดได้ใช้เงินจริงเพียงเล็กน้อย ส่วนเงินทอนนั้นถูก นำไปเข้ากระเป๋าส่วนตัว
คดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายนพรัตน์ เกี่ยวข้องกับวัดจำนวนมากใน หลายจังหวัดทั่วประเทศ ครอบคลุมงบประมาณหลายประเภท ทั้ง งบบูรณะวัด งบการศึกษา และงบเผยแผ่ศาสนา ตัวอย่างคดีที่ปรากฏ ในรายงาน เช่น
การทุจริตงบประมาณที่จัดสรรให้วัดในจังหวัดเพชรบูรณ์, ตาก, พระนครศรีอยุธยา, นนทบุรี, สระบุรี, สมุทรปราการ, นครปฐม, สมุทรสงคราม, บุรีรัมย์, สุรินทร์, กรุงเทพมหานคร, ลำพูน, ชุมพร, อำนาจเจริญ, ลำปาง, นครสวรรค์
• กรณีทุจริตการโอนเงิน 5 ล้านบาทให้วัดในต่างประเทศ และเรียก รับเงินทอน 17 ล้านบาทจากวัดอื่นอีก 6 แห่ง
• กรณีอนุมัติงบ 8 ล้านบาท โครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนฯ ปี 2556 ให้วัดตากฟ้า จ.นครสวรรค์ แล้วเรียกรับเงินคืน
• กรณีทุจริตงบประมาณที่จัดสรรให้วัดพนัญเชิงวรวิหาร ปี 2557 และ 2558
• การแถลงข่าวของ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ชี้มูลความ ผิดนายนพรัตน์กับพวกใน 8 สำนวน เกี่ยวข้องกับ 8 วัด ความเสีย หายกว่า 30 ล้านบาท
การตรวจสอบของ ป.ป.ช. พบว่านายนพรัตน์มีทรัพย์สินผิดปกติสูง ถึง 575 ล้านบาท และมีการซุกซ่อนผ่านบุคคลในครอบครัว เช่น ภรรยา บุตรสาว และอดีตภรรยา
สำนักงาน ปปง. ได้ติดตามเส้นทางการเงิน และสั่งยึด/อายัดทรัพย์สินจำนวนมากที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งในชื่อของนายนพรัตน์และคนในครอบครัวภรรยา, บุตรสาว รวมถึงบ้านหรูย่านราชพฤกษ์ที่ซื้อด้วยเงินสดเกือบ 50 ล้านบาท
หลังเรื่องแดงและถูกออกหมายจับ นายนพรัตน์ได้หลบหนีออกนอก ประเทศไปตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2560 และใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ สหรัฐอเมริกานานกว่า 8 ปี จนกระทั่งล่าสุดถูกจับกุม
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘ล้างบาปปราบอลัชชี’ ตร. ลุยปราบเงินทอนวัด จับ ‘เจ้าคุณแจ็ค’
- ศาลอาญาทุจริต สั่งจำคุก “กิจ หลีกภัย” 3 ปี 4 เดือน เซ่นเช่าท่าเรือโดยมิชอบ
- ศาลให้ประกันตัว 7 ผู้ต้องหา เอี่ยวทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก