ย้อนผลงาน “สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” 8 ปีนั่งแท่นนายกสมาคมฯ พาบอลไทยไปได้ไกลแค่ไหน

ย้อนดูผลงาน “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ตลอด 8 ปี ในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พาทีมชาติไทยไปได้ไกลแค่ไหน
สำหรับ “บิ๊กอ๊อด” หรือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก้าวขึ้นมาเป็นประมุขของวงการฟุตบอลไทยจากการลงสมัครเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2559 (ค.ศ. 2016) ก่อนที่เขาจะเอาชนะผู้สมัครอีก 4 คน ได้แก่ ธวัชชัย สัจจกุล, พินิจ สะสินิน, ชาญวิทย์ ผลชีวิน และ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
ในยุคนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า ฟุตบอลทีมชาติไทย ที่ในตอนนั้นมี “โค้ชซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นแม่ทัพนั้นกำลังไปได้สวย พร้อมกับทำให้เกิดกระแส “ฟุตบอลฟีเวอร์” เรียกแรงศรัทธาจากแฟนบอลได้อีกครั้ง แต่การมาของ “บิ๊กอ๊อด” ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการบอลไทย เริ่มจากการลดหน้าที่ของ “โค้ชซิโก้” เหลือเพียงแค่การเป็น เฮดโค้ช เท่านั้น ขณะที่เรื่องบริหารและสิทธิประโยชน์ของทีมชาตินั้น จะมีการเลือกบริษัทเข้ามารับหน้าที่ดังกล่าวแทน
หลังจากนั้น บรรยากาศระหว่าง ซิโก้ กับ บิ๊กอ๊อด ก็ยังตึงเครียดมาโดยตลอด และฟางเส้นสุดท้ายก็เกิดขึ้นในปี 2017 หลังจากที่ ทีมชาติไทย แพ้ให้กับ ทีมชาติญี่ปุ่น 0-4 ในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่ถึงแม้ว่าสถานะของทัพช้างศึกในตอนนั้นจะตกรอบแน่นอนแล้ว แต่ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้นทำให้เกิดวลีเด็ดของ พล.ต.อ.สมยศ ที่ยังถูกแซวมาจนถึงทุกวันนี้ว่า “ใครไม่อาย ผมอาย” และสุดท้ายในวันรุ่งขึ้น โค้ชซิโก้ จะประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทั้งที่ยังเหลือสัญญาอีก 1 ปี
นับตั้งแต่ที่ พ.ต.อ.สมยศ เข้ามารับหน้าที่นายกสมาคมฟุตบอลฯ ภาพรวมอันดับโลกของทัพช้างศึกนั้นถือว่าค่อนข้างดี โดยทีมชาติไทยเริ่มต้นปี 2016 ในฐานะทีมอันดับที่ 120 ของโลก และก็เคยหล่นไปอยู่ในอันดับ 146 มาแล้วในช่วงปลายปี ซึ่งถ้าหากไล่ตามปี อันดับโลกของทัพช้างศึกจะแบ่งได้ดังนี้
- ปี 2016 : อันดับที่ 126
- ปี 2017 : อันดับที่ 130
- ปี 2018 : อันดับที่ 118
- ปี 2019 : อันดับที่ 113
- ปี 2020 : อันดับที่ 111
- ปี 2021 : อันดับที่ 115
- ปี 2022 : อันดับที่ 111
- ปี 2023 : อันดับที่ 113
ส่วนในแง่ความสำเร็จของฟุตบอลทีมชาติไทย ต้องบอกว่าไม่ได้ปังอย่างที่หลายคนคาดหวัง เริ่มจากแชมป์ซีเกมส์ ที่เราคว้าแชมป์ได้แค่ 1 จาก 4 ครั้งในช่วงที่ “บิ๊กอ๊อด” ดำรองตำแหน่ง นั่นคือเหรียญทองเมื่อปี 2017 ที่มาเลเซีย ส่วนปี 2019 ตกรอบแรก และได้เหรียญเงินอีก 2 ครั้งในปี 2021 และ 2023 ขณะที่ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ สามารถเข้าไปเล่นฟุตบอล เอเชียน คัพ ได้ในปี 2019 และ 2023
ขณะที่ผลงานในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย 1 ครั้งในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” นั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไรอย่างที่กล่าวไปข้างต้น เพราะทัพช้างศึกจอดป้ายที่เพียงแค่รอบ 2 ในปี 2019 ทำให้ชวดโอกาสที่จะได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนี้ ผลงานในศึกแห่งศักดิ์ศรีของชาติในอาเซียนอย่าง อาเซียน คัพ ทีมชาติไทยในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” คว้าแชมป์มาได้ถึง 3 ครั้ง คือปี 2016, 2020 และ 2022
และนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง “บิ๊กอ๊อด” ได้มีการเปลี่ยนตำแหน่งเฮดโค้ชมาแล้วถึง 5 คน เริ่มจากปลด เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, มิโลวาน ราเยวัช, ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย, อากิระ นิชิโนะ, มาโน โพลกิง และ มาซาทาดะ อิชิอิ เป็นคนล่าสุด
แม้ว่าในตอนนี้ “บิ๊กอ๊อด” จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลไทยแล้ว แต่ชื่อของเขาก็ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง เมื่อล่าสุด ศาลฎีกา สั่งให้ สมาคมกรฬาฟุตบอลฯ แพ้คดี บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) พร้อมชดใช้ค่าเสียหาเป็นจำนวนเงิน 360 ล้านบาท โดยทาง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ คนปัจจุบัน ยืนยันว่าจะดำเนินการเอาผิดทีมงานของสมาคมฯชุดก่อนหน้านี้ หรือก็คือคนในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” เนื่องจากคดีดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคของบิ๊กอ๊อด และมีการจ่ายเงินค่าทนายความ 30 ล้านบาท รวมไปถึงยังมีการชี้แจงว่า พล.ต.อ.สมยศ รับเงินเดือนรวม 2 ล้านบาท ทั้งที่ทำตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือนประจำ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าได้มีโอนเงินจำนวนดังกล่าวกลับเข้ามาเป็นเงินบริจาคให้กับสมาคมฯ แต่อย่างใด
ล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ โดยบอกว่าในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วน และจะมีการชี้แจงเป็นข้อๆ ต่อไปในอนาคต
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “สมยศ” ยอมพูดแล้ว หลัง ‘มาดามแป้ง’ แถลงข่าวเตรียมไล่เช็คบิล
- มาดามแป้ง แฉ สมยศ รับเดือนละ 1 ล้าน บอกบริจาคคืนยังหาไม่เจอ
- สรุป มาดามแป้ง รับทั้งน้ำตา จ่ายสยามกีฬา 500 ล้าน จ่อพบระวิ-ฟ้องสมยศ