ทนายพัช ยกหูตอบนักข่าว ย้ำยังเป็นผู้บริสุทธิ์ แม่เหยื่อแฉ ทนายดูถูกคนตาย
โหนกระแส เปิดเสียงสัมภาษณ์ ทนายพัช ชี้ตัวเองยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ผลพิพากษาแค่ศาลชั้นต้น อุทธรณ์อาจออกหน้าอื่นได้ ย้ำคดียังไม่ถึงฎีกา ปากแจ๋วบอกคำตัดสินที่ออกมา เป็นตามที่คาดไว้
หลังจากวานนี้ (20 พ.ย.67) ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต นางสรารัตน์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” จำเลยที่ 1วางยาสังหารนางสาวศิริพร หรือ “ก้อย” พร้อมตัดสินจำคุก 1 ปี 4 เดือน พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีนางสรารัตน์ และอดีตรองผกก.สภ.สวนผึ้ง (จำเลยที่ 2) และตัดสินจำคุก นางสาวธันย์นิชา หรือ “ทนายพัช” จำเลยที่ 3 อดีตทนายความนางสรารัตน์ จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมชดใช้ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท ในความผิดฐานช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน
ล่าสุด รายการโหนกระแสวันนี้ (21 พ.ย.) เปิดเสียงที่ทีมข่าวช่อง 3 สัมภาษณ์ ทนายพัช ต่อหน้าญาติของเหยื่อที่มาร่วมรายการ โดยฝั่งนักกฎหมายสาวระบุ แม้จะมีคำตัดสินออกมาแต่เนื่องจากเป็นคำตัดสินของศาลชั้นต้น ดังนั้นในส่วนของกระบวนการยังถือว่าเธอเองเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ เพราะคดียังไปไม่ถึงชั้นศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุด
ทนายพัชยังขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์อะไรมาก เพราะในชั้นอุทธรณ์อาจจะกลับก็ได้ พร้อมบอกคำตัดสินของศาลชั้นต้นเป็นไปตามที่คาดไว้
ทั้งนี้ มารดาของ น.ส.ก้อย ผู้เสียชีวิต เล่าถึงในห้องพิจารณาคดีเป็นบรรยากาศที่เศร้า อึดอัดและก็มีความยั่วยุโมโหคุณแม่และก็ครอบครัวผู้ตาย เห็นภาพทนายพัช พูดไปยิ้มไป ยักคิ้วใส่แม่ อีกทั้งไปเจอคำถามของทนายที่ว่า คุณบอกว่า ลูกก็อยู่กับคุณตลอดเวลา แล้วไปทำไมที่ภูเก็ต ไปขายบริการหรือเปล่า ? ตอนนั้นแม่เองยังไม่เข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร มาทราบภายหลังเสียใจ เจ็บใจมาก เพราะเขาดูถูกคนตาย
ขณะที่ ต้าร์ สามีหนิมเหยื่อ 1 ใน 14 คดีที่รอส่งฟ้อง กล่าวหลังฟังเหตุผลของทนายพัช โดยแย้งประเด็นที่ทนายอ้างว่าคดีชั้นอุทธรณ์อาจกลับได้นั้น ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นไปได้ยาก เข้าใจว่าจำเลยอยากมีควาหวังที่อยากจะพ้นผิด (ทนาย) แต่คดีนี้ทั้งสำนวนการร้อยเรียงหลักฐาน เป็นหน่วยงานใหญ่ทั้งหมดไล่ตั้งแต่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานทนายความ ไม่นับการรวบรวมพยานหลักฐานที่รอบด้านของทั้งสอบสวนกลางหรือกองปราบฯ
ต้าร์ ยังบอกด้วยว่า “ทนายพัช” ควรจะยอมรับผิดมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ตามข้อกฎหมายผู้สนับสนุนจะได้รับโทษสูง 2 ใน 3 ที่แอมจะได้รับ เขาเป็นทนาย สามีก็เป็นตำรวจ เพราะฉะนั้นจะมาปฏิเสธว่าไม่ให้ความช่วยเหลือก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะก่อนที่แอมจะทำอีกฝ่ายรู้และเคยโอ้อวดเองว่าสามีเป็นตำรวจ ทนายพัชอาจเคยแนะนำว่าทำแบบนี้ อย่างนี้หลุดนะ ! ตัวแอมก่อนจะทำและขณะทำต้องทราบดีว่า มี 2 คนนี้เป็นแบคอัพให้อยู่
เท่านั้นไม่พอมีการบอกด้วยว่าตอนพิจารณาคดี เจอคำถามทนายพัช ถามคุณแม่ของก้อยว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า คล้ายจะพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่า “ไม่ใช่แม่ลูกกัน” ซึ่งตอนนั้นมีการเรียกค่าเสียหาย คุณแม่เรียก 30 ล้าน และมีการพูดถามว่า ลูกมีอาชีพอะไร ขายบริการไหม ทำให้ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ต้องรีบลุกขึ้นพูดกลางศาลให้ทนายจำเลยพูดจาให้เหมาะสม “อย่าดูถูกคนตาย”.
อ่านข่าวเพิ่มเติม